หนังสือเล่มเล็ก "ประวัติศาสตร์ศิลปะสุโขทัย" - PDF Flipbook

รมย์ธีรา สถิตย์สุขเสนาะ ม.3/6 เลขที่ 17

116 Views
0 Downloads
PDF 3,199,091 Bytes

Download as PDF

REPORT DMCA


รมยธ์ รี า สถติ ยส์ ขุ เสนาะ ม.3/6 เลขท่ี 17

คำนำ

สโุ ขทยั นามของอดีตราชธานีท่ีมคี วามหมายอันไพเราะวา่ “รงุ่ อรุณแห่งความสุข”
ซ่งึ หลงเหลอื หลกั ฐานประเภทโบราณสถานและโบราณวัตถจุ ำนวนไมน่ อ้ ย รอ่ งรอยอดีตท่ี
ปรากฏในเมอื งโบราณสโุ ขทยั และเมืองรว่ มสมยั ใกลเ้ คยี งจงึ เป็นแหลง่ เรยี นรู้ทางวฒั นธรรม
ทีส่ ำคญั เชื่อมโยงใหเ้ ราได้รูจ้ ักประวัติศาสตรข์ องสโุ ขทยั
ผจู้ ดั ทำหวงั วา่ หนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชนก์ บั ผูอ้ า่ น หรอื นักเรยี นทก่ี ำลงั หาข้อมลู เรอื่ งน้อี ยู่
หากมขี ้อแนะนำหรือขอ้ ผิดพลาดประการใด ผูจ้ ดั ทำขอน้อมรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ท่นี ้ีด้วย

รมยธ์ รี า สถติ ยส์ ขุ เสนาะ
19 มิถนุ ายน 2564

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขท-ี ่ 17-ม.3/6----------

ศลิ ปะสโุ ขทยั
สโุ ขทยั เป็นแควน้ อสิ ระทม่ี พี ัฒนาการเกิดขนึ้ ตง้ั แตพ่ ุทธศตวรรษที่ 18

มีความเจริญรุ่งเรอื งและ ดำรงความเป็นเอกราชอย่ใู นระยะเวลาหน่ึง จงึ มคี วามสมั พนั ธ์กบั
บา้ นเมืองต่างๆ โดยรอบ ทัง้ ความสัมพันธท์ างการเมอื ง ศาสนา และวฒั นธรรม โดยเฉพาะ
พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทลทั ธลิ ังกาวงศท์ ี่เจรญิ ร่งุ เรอื งอยู่ทแี่ คว้นสโุ ขทยั ทำใหส้ โุ ขทยั เป็น
ศนู ยก์ ลางของพระพุทธศาสนาลงั กาวงศใ์ นดินแดนแถบน้ี และได้เปน็ เบา้ หลอ่ หลอมให้สโุ ขทยั
มีแบบแผนทางวฒั นธรรมเปน็ ของตน โดยเฉพาะศลิ ปะสโุ ขทยั ซ่ึงเปน็ งานสถาปัตยกรรมและ
ศิลปกรรมท่เี กี่ยวเนอื่ งในพระพทุ ธศาสนาเปน็ สว่ นใหญ่ มีรูปแบบและลกั ษณะเฉพาะ
แสดงเอกลักษณข์ องสโุ ขทยั อยา่ งแทจ้ รงิ

ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะสโุ ขทยั
สโุ ขทยั มพี ฒั นาการขน้ึ จากชุมชนหมบู่ า้ นเลก็ ๆ ทตี่ ้งั อยบู่ นเสน้ ทางการค้าทางบก

ค่อยๆ เตบิ โตขน้ึ เป็นชมุ ชนเมอื งอยู่ภายในขอบเขตของแคว้นเชลยี ง
ในราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 18 พอ่ ขุนศรนี าวนำถุมได้สถาปนาชมุ ชนแห่งนี้ขึน้ เป็น
เมอื งแห่งใหม่ในช่อื ว่า “สุโขทยั ” และในเวลาตอ่ มาไม่นานนกั สโุ ขทยั กเ็ ป็นเมอื งที่มคี วาม-
เจรญิ รุง่ เรืองเป็นศูนยก์ ลางของแควน้ สุโขทยั

ปราสาทวดั พระพายหลวง
เมืองสโุ ขทยั

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขที-่ 17-ม.3/6----------
1

ศลิ ปะสโุ ขทยั ยคุ แรกเรม่ิ

ในระยะเริ่มต้นของแคว้นสุโขทัยเม่ือราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงตน้ พุทธศตวรรษท่ี 19
การนับถือศาสนาของของชาวสโุ ขทยั หลากหลาย อาจได้รบั แบบแผนทางวฒั นธรรมจาก
เมืองลพบรุ ี จงึ ปรากฏมที งั้ ศาสนาพราหมณ์หรอื ฮินดูและพระพทุ ธศาสนานกิ ายต่างๆ ทงั้ น้ปี รากฏ
ศาสนสถานเนอ่ื งในพระพทุ ธศาสนาแบบมหายานคอื ปราสาทศลิ าแลงสามหลงั ทว่ี ัดพระพายหลวง
ศิลปะเขมรแบบบายน เดมิ คงเป็นเทวสถานของขอม เพราะพบช้นิ สว่ นของเทวรปู และฐานศิวลงึ ค์
ภายหลังคงไดร้ บั การดดั แปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธมิ หายาน รวมทงั้ ศาลตาผาแดงและ
ปรางคว์ ัดศรสี วาย ศาสนสถานเนอื่ งในศาสนาพราหมณ์หรือฮนิ ดู นอกจากน้ียงั พบหลักฐานทเี่ ป็น
รปู เคารพทางศาสนา ทงั้ เทวรูปและพระพทุ ธรปู ต่างๆ

พระพทุ ธรูปศิลาจาหลกั ศลิ ปะเขมร เทวสตรีจาหลกั ศลิ า พบท่ศี าลตาผาแดง
พบท่วี ดั พระพายหลวง เมืองสโุ ขทยั

นอกจากน้ียงั ปรากฏแหล่งผลิตเครอื่ งปน้ั ดินเผาเคลือบสนี ำ้ ตาลเรียกวา่ “เครอื่ งถ้วยเชลยี ง”
จัดวา่ เป็นเครื่องปั้นดินเผาสโุ ขทยั รุ่นแรกทม่ี อี ายุในราว พทุ ธศตวรรษที่ 18 ลกั ษณะของภาชนะดนิ -
เผาเคลอื บแบบเชลียงนน้ี ้ำเคลอื บจะออกสีนำ้ ตาลคอ่ นขา้ งดำเป็นมัน เคลือบหนา เนอ้ื ดินคอ่ นข้าง
หยาบสเี ทาอมดำ รูปแบบและเทคนคิ การเคลอื บของเครือ่ งป้นั ดนิ เผาเชลียงคลา้ ยคลึงกับ
เครอื่ งเคลือบดินเผาเขมรมาก จงึ สนั นษิ ฐานวา่ คงได้รบั เทคโนโลยกี ารทำเครอ่ื งเคลือบดนิ เผามา
จากเขมรผา่ นมาทางเมอื งลพบุรี

เมอ่ื พอ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย์ข้ึนครองราชย์เป็นปฐมกษัตริยแ์ หง่ ราชวงศพ์ ระร่วงในชว่ งครงึ่ หลงั
ของพทุ ธศตวรรษที่ 18 ช่วงเวลานส้ี โุ ขทยั มคี วามสัมพนั ธใ์ นทางพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทกับ
มอญ-พม่าท่ีเมอื งพกุ าม และทเ่ี มอื งหรภิ ญุ ไชยมากข้ึน ดงั ปรากฏหลกั ฐานทางสถาปตั ยกรรมเปน็

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขท-ี ่ 17-ม.3/6----------
2

เจดียส์ เ่ี หลยี่ มวัดพระพายหลวง ซึง่ คงได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากเจดียก์ ู่กดุ วัดจามเทวี เมอื งหริภญุ ไชย
และพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากเมืองนครศรธี รรมราชคงได้แพร่หลายเขา้ มายงั เมืองสุโขทยั แล้ว
ท้ังนม้ี ีเรอ่ื งราวอยใู่ นเอกสารของล้านนากล่าวถึงพระโรจนาช ซงึ่ ควรหมายถึงพอ่ ขนุ ศรอี ินทราทติ ย์
ได้อัญเชิญพระพทุ ธสิหิงค์จากนครศรธี รรมราชมาส่เู มอื งสโุ ขทยั

สำหรบั งานประตมิ ากรรม พระพทุ ธรปู สโุ ขทัยรนุ่ แรกทป่ี รากฏขึน้ ซึ่งถูกกำหนดช่อื เรยี กว่า
“พระพุทธรปู สโุ ขทยั หมวดเบด็ เตลด็ หรือหมวดวดั ตระกวน” เป็นพระพทุ ธรูปสุโขทัยทมี่ ศี ลิ ปะแบบ
เชียงแสนเขา้ มาปะปนอยู่ กลา่ วคือ มลี กั ษณะพระพักตรก์ ลม ขมวดเกศาใหญ่ พระรัศมเี ป็นรูป
ดอกบวั ตูม พระวรกายอวบอ้วน บางองคม์ ลี กั ษณะชายสังฆาฏิหรือจีวรส้นั พระนลาฏแคบ
แต่พระวรกายและฐานมกั เปน็ แบบสโุ ขทัย อาจปรากฏในปลายพุทธศตวรรษท่ี 18 เพราะพบที่
วัดตระกวนในเมอื งสโุ ขทัยเปน็ คร้ังแรกและพระพุทธรปู ปูนป้ันประดบั เจดีย์ทอี่ ยชู่ นั้ ในของเจดยี ์
สเี่ หลี่ยม วดั พระพายหลวงดว้ ยเชน่ กนั

ในราวคร่งึ แรกของพุทธศตวรรษที่ 19 พระพทุ ธศาสนาลังกาวงศจ์ ากเมืองนครศรธี รรมราช
คงได้แพร่หลายเขา้ มายงั เมอื งสโุ ขทยั มากขึ้นโดยเฉพาะในรัชสมยั พ่อขนุ รามคำแหง ดังปรากฏความ
ใน ศิลาจารึกหลักท่ี 1 วา่ “พอ่ ขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบ
ปฎิ กไตรหลวกว่าปู่ครใู นเมอื งน้ี ทกุ คนลุกแตเ่ มอื งศรธี รรมราชมา...”

ในระยะนอ้ี ิทธพิ ลศิลปะลังกาคงได้เรม่ิ เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งในศลิ ปะสุโขทยั ชดั เจนแล้ว โดยเฉพาะ
เจดียท์ รงระฆงั หรือเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา คงถกู สรา้ งขนึ้ แลว้ ในแถบอรีญญิกทางทศิ เหนือของ
เมอื งสโุ ขทยั ซึ่งสันนษิ ฐานว่าได้รบั อิทธพิ ลผา่ นมาทางเมอื งนครศรธี รรมราช

ด้านงานประตมิ ากรรม มกี ารสร้าง “พระพทุ ธรูปสโุ ขทยั หมวดใหญ่” ซึ่งถอื เป็นพระพทุ ธรปู
ศิลปะสโุ ขทยั อย่างแทจ้ ริง มลี ักษณะพระรศั มเี ป็นเปลว ขนาดพระเกศาเล็ก พระพกั ตรร์ ปู ไข่
พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม(ตามแบบมหาบรุ ษุ ลกั ษณะจากอินเดีย) พระโอษฐอ์ มยม้ิ เลก็ น้อย
พระองั สาใหญ่ บั้นพระองค์เลก็ ครองจวี รห่มเฉยี ง ชายจีวรยาวลงมาถึงพระนาภี ปลายเป็นลาย
เขี้ยวตะขาบ ปางมารวชิ ยั ประทับขดั สมาธริ าบ ฐานเป็นหนา้ กระดานเกล้ียง เรมิ่ เกดิ ขึน้ ในช่วง
ทสี่ ุโขทยั ปรับเปลย่ี นมาเปน็ พทุ ธศาสนาแบบเถรวาทที่รบั มาจากลงั กาและอาจมีมาแลว้ ต้งั แต่
สมัยพ่อขุนรามคำแหงหรือพญาเลอไทย แตก่ ไ็ มม่ ีหลักฐานทส่ี ามารถยืนยันแน่ชดั ลงไปได้ รวมทง้ั
พระอจนะ วดั ศรชี มุ ซง่ึ เป็นพระพุทธรูปปนู ป้ันขนาดใหญ่ปางมารวชิ ัย ขนาดหนา้ ตกั กวา้ งประมาณ
11.30 เมตร และพระอฏั ฐารส ซ่งึ เปน็ พระพุทธรปู ประทบั ยนื ขนาดใหญป่ างประทานอภยั ถอื เปน็
งานศลิ ปกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์ของสุโขทยั เช่นพระอฏั ฐารสทีว่ ดั สะพานหิน ทม่ี กี ลา่ วถงึ ใน
ศิลาจารกึ หลักท่ี 1 และพระอัฏฐารสทีว่ ดั มหาธาตุเมอื งสโุ ขทยั นา่ จะถกู สร้างขึ้นในระยะเวลานี้

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขท-ี ่ 17-ม.3/6----------
3

หรอื อย่างนอ้ ยต้ังแตร่ ชั กาลพ่อขนุ รามคำแหงในราวคร่ึงแรกของ
พทุ ธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

นอกจากน้กี ารทำเครอ่ื งสงั คโลกหรอื เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาเคลอื บ
ของสุโขทัยนา่ จะเรมิ่ ต้นขึน้ ในช่วงเวลานี้เช่นกัน แหลง่ เตาสังคโลก
ทส่ี ำคัญ ได้แก่ แหลง่ เตาสโุ ขทัยหรอื “เตาทเุ รยี ง”และแหลง่ เตา
ศรีสัชนาลัยบางแหง่ แตใ่ นระยะแรกๆ เครอ่ื งสังคโลกทผี่ ลิตยังคงมี
คุณภาพทไ่ี มด่ ีนักพบในปริมาณไม่มากและคงผลิตข้ึนเพอื่ ใชใ้ น
ชมุ ชนหรอื สินคา้ ป้อนตลาดภายในเท่านั้น

ศลิ ปะสโุ ขทยั ยคุ รงุ่ เรอื ง พระอจนะ
วดั ศรชี มุ
เมอื งสโุ ขทยั

พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ไดเ้ ผยแผ่เขา้ มาสู่แควน้ สโุ ขทัยอกี คร้ังหนง่ึ ในราวคร่ึงหลังของ
พุทธศตวรรษท่ี 19 ในครั้งนีพ้ ระมหาเถรศรศี รทั ธาราชจฬุ ามุนซี ึ่งเป็นราชนัดดาของ
พ่อขนุ ศรีนาวนำถุม(ปฐมกษัตรยิ เ์ มอื งสโุ ขทยั ) ไดเ้ ดนิ ทางไปศึกษาพระศาสนายงั เกาะลังกาและ
นำกลับมาเผยแผ่ยงั แควน้ สโุ ขทยั การเขา้ มาของพระพุทธศาสนาจากเกาะลังกา(สายสหี ล)
คร้ังน้ีทำให้ศลิ ปะลังกาเข้ามามอี ทิ ธพิ ลอยู่ในศลิ ปะสโุ ขทยั อยา่ งชัดเจน

โดยเฉพาะพระพทุ ธรูปสุโขทยั หมวดใหญ่ ซึ่งเปน็ เอกลกั ษณข์ องศลิ ปะสโุ ขทัย ได้ปรากฏขนึ้
อยา่ งชดั เจน โดยพบกลมุ่ พระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั ทีเ่ จดียส์ เ่ี หลย่ี มวดั พระพายหลวง ซึง่ ถกู บูรณะทับอยู่
ในซ้มุ จระนำชั้นใน เปน็ พระพุทธรูปขดั สมาธริ าบ พระพกั ตรร์ ูปไข่ พระรศั มีเปน็ เปลว ชายสงั ฆาฏิ
ยาวลงใจรดพระนาภี จงึ มกี ารกำหนดอายพุ ระพุทธรูปกลม่ นพ้ี รอ้ มกับกล่มุ เทวดาปูนปั้นประดบั ทงั้
ในสว่ นของววิ ัฒนาการเคร่ืองประดบั เครอื่ งทรงต่างๆ รวมทั้งวิวัฒนาการของซุ้มจระนำทเ่ี ปลย่ี น-
แปลงจากศลิ ปะเขมรมามอี ิทธพิ ลของศลิ ปะลงั กาทำใหก้ ำหนดอายไุ วว้ ่านา่ จะอยใู่ นชว่ งคร่งึ หลงั
ของพทุ ธศตวรรษที่ 19 ซ่งึ ควรเป็นชว่ งเวลาของการเริ่มต้นของพระพทุ ธรปู สุโขทยั หมวดใหญก่ ็ได้

ตอ่ มาในปลายพทุ ธศตวรรษที่ 19 ครงั้ รชั กาลพระมหาธรรมราชาลิไทมพี ระสงฆ์สโุ ขทัยสอง
รูป คอื พระอโนมทัสสีและพระสุมนเถระ เดินทางไปยงั เมอื งพนั หรอื เมาะตะมะ เข้าบวชใหมใ่ น
ฝา่ ยอรญั ญวาสีทส่ี ำนกั ของพระอทุ ุมพรบบุ ผามหาสวามี และเมอื่ เดนิ ทางกลับมาได้ทำการเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนาลงั กาวงศต์ ามแนวทางของลังกาวงศ์สายรามญั โดยไดร้ บั การสนับสนุนจาก
พระมหาธรรมราชาลิไท

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขท-ี ่ 17-ม.3/6----------
4

พระมหาธรรมราชาลิไททรงสนพระทนั ในพระพทุ ธศาสนาลงั กาวงศ์สายรามญั เปน็ อยา่ งมาก
เหน็ ไดจ้ ากใน พ.ศ. 1900 โปรดใหส้ รา้ งพระมหาธาตุและปลกู ต้นพระศรมี หาโพธิท่ีนำมาจากเกาะ
ลังกาไว้หลังพระมหาธาตเุ จดยี ์หลายแห่ง เชน่ ทพ่ี ระมหาธาตุเมอื งนครชมุ และโปรดให้พิมพ์
รอยพระพทุ ธบาทจากเขาสมุ นกฏู ท่เี กาะลังกามาประดิษฐานไว้ที่เขาสมุ นกูฏเมอื งสุโขทยั เขาในเมอื ง
ศรสี ัชนาลัย เขาจอมนางทองในเมืองบางพาน และเขาท่ปี ากพระบาง(นครสวรรค)์ ด้วย และใน
พ.ศ. 1905 ไดเ้ สดจ็ ออกผนวช โดยทรงอาราธนาพระอทุ มุ พรบบุ ผามหาสวามจี ากเมอื งพนั หรอื
เมาะตะมะมาเปน็ พระอปุ ัชฌาย์ พระมหาธรรมราชาลิไททรงเป็นนักปราชญผ์ ู้ทรงรูบ้ ุญรธู้ รรม ทรง
ศรทั ธาในพระพุทธศาสนา ดว้ ยเหตุนีพ้ ระองค์จงึ ไดร้ บั สมญานามวา่ พระมหาธรรมราชา ช่วงเวลาน้ี
อาจถือได้วา่ เปน็ ระยะเวลาเจรญิ รุง่ เรอื งสงู สุดของแควน้ สุโขทัย ศลิ ปะสุโขทยั ไดว้ วิ ฒั นาการข้ึนและ
เจรญิ ถงึ ขีดสูงสุดในรชั กาลนี้

สถาปัตยกรรมและศลิ ปกรรมสุโขทัยทมี่ ลี ักษณะโดดเดน่ เปน็ เอกลักษณ์ของสโุ ขทยั ไดป้ รากฏ
ขึน้ ในชว่ งเวลานเ้ี ป็นอันมาก อาทิ เจดยี ท์ รงพ่มุ ข้าวบิณฑห์ รือเจดยี ท์ รงยอดดอกบัวตูม ซ่ึงถือเป็น
เจดยี แ์ บบสุโขทยั แท้ จากการศึกษาหลักฐานศลิ าจารึกหลายๆ หลักกลา่ วถงึ พระมหาธาตทุ ี่
พระธรรมราชาทรงสร้างขน้ึ สรุปได้วา่ เจดียร์ ปู แบบนถี้ กู สรา้ งข้ึนในรชั สมยั ของพระมหาธรรมราชาลิไท

เจดยี ์ชา้ งลอ้ ม เปน็ เจดีย์สำคัญทมี่ ีรปู แบบเป็นเอกลักษณ์ของสุโขทยั มลี กั ษณะทว่ั ไปเหมือนกบั
เจดียท์ รงระฆงั หรือทรงกลมแบบลังกา
แต่ตา่ งกนั ตรงท่ีสว่ นฐานมีช้างปนู ปั้น
ประดับโดยรอบ
จากการศกึ ษาเชื่อว่าเจดีย์วดั ชา้ งล้อม
เมอื งศรีสชั นาลัย ซึง่ มลี กั ษณะเปน็ เจดยี ์
สี่เหลีย่ มผสมทรงกลม
ตั้งอย่บู นฐานประทกั ษณิ ชา้ งลอ้ ม นา่ จะ
เปน็ เจดยี ์ทรงช้างลอ้ มแห่งแรกๆทสี่ รา้ ง
ขนึ้ ในแควน้ สุโขทัย
ประมาณสมยั พระมหาธรรมราชาลไิ ทเมอ่ื ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 20

สำหรบั งานประตมิ ากรรมในศลิ ปะสโุ ขทยั ได้ปรากฏพระพุทธรปู โดดเดน่ องคห์ นึ่งท่ี
พระมหาธรรมราชาลไิ ททรงหล่อขึ้น คือ พระศรศี ากยมนุ ี

----------รมย์ธีรา--สถิตย์สขุ เสนาะ-เลขท-ี ่ 17-ม.3/6----------
5

อ้างองิ ขอ้ มลู จาก
สรุ พล ดำรหิ ก์ ุล. 2562. ประวตั ศิ าสตรแ์ ละศลิ ปะสโุ ขทยั . นนทบุรี : เมอื งโบราณ.


Data Loading...