คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย - PDF Flipbook

คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

100 Views
98 Downloads
PDF 29,606,066 Bytes

Download as PDF

REPORT DMCA


ค่มู อื การใช้หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์

กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

วิชาฟสิ ิกส์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย

จัดทำ�โดย

สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระทรวงศกึ ษาธิการ





ST I PST I PST I PST I PST I PST I PST T I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PS I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST

ST สารบญั กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์
• เปา้ หมายของการจัดทำ�คู่มือการใชห้ ลักสูตร
• สว่ นท่ี ๑ ความรแู้ ละแนวคดิ ท่ัวไปเกี่ยวกบั หลกั สตู ร ก

๑. ทมี่ าและเหตผุ ลของการปรบั หลกั สูตร ๑
๒. เปา้ หมายของหลักสตู รวิทยาศาสตร์ ๓
๓. เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ ๔
๔. ผลการเรียนรแู้ ละสาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม ๖
๕. คุณภาพผเู้ รยี น ๑๔
๖. ทักษะท่สี ำ�คัญในการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ๑๗
๗. จติ วทิ ยาศาสตร์ ๕๒
๘. แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาผู้เรยี นในศตวรรษท่ี ๒๑ ๕๕
๙. การวางแผนการจัดการเรยี นร้ดู ้วยวฏั จกั รการเรียนรแู้ บบต่าง ๆ ๖๓
๑๐. แนวทางการประเมนิ การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ๖๕
๑๑. ปัจจยั ความสำ�เรจ็ ในการจัดการเรยี นรู้ ๗๘
เอกสารอา้ งองิ ส่วนที่ ๑ ๘๔
๘๘
ส่วนท่ี ๒ การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ ๙๐
• คณะผ้จู ัดทำ�ค่มู ือการใชห้ ลกั สตู ร ๙๓
๑๒๗

กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
วิชาฟิสิกส์



สารบญั ภาพ ๒

ภาพท่ี ๑ ตัวอยา่ งการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้
ภาพท่ี ๒ สาระของรายวชิ าเพ่มิ เติมในกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ๘
๑๒
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน (ฉบับปรับปรุงพุทธศกั ราช ๒๕๖๐) ๕๘
ภาพท่ี ๓ วฏั จักรการสบื เสาะหาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์แบบช้นี �ำ ๗๗
ภาพท่ี ๔ วฏั จกั รการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในหอ้ งเรียน ๗๙
ภาพที่ ๕ กรอบความคดิ เพอ่ื การจดั การเรียนรสู้ ำ�หรับศตวรรษที่ ๒๑ ๘๑
ภาพที่ ๖ เปรียบเทยี บอนุกรมวธิ านของบลูมและอนกุ รมวิธานท่ปี รบั ปรงุ จากบลูม ๘๒
ภาพที่ ๗ วัฏจกั รการเรียนรูข้ องคาร์ปลซั
ภาพที่ ๘ วฏั จกั รการเรยี นรู้แบบ ๕ ข้นั
ภาพท่ี ๙ วฏั จักรการเรียนรแู้ บบ ๗ ขน้ั

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์



สารบัญตาราง

ตารางที่ ๑ ลักษณะจำ�เปน็ ของการสบื เสาะหาความรู้ในชั้นเรียนและระดับของการสบื เสาะหาความรู้ ๑๓
ตารางท่ี ๒ การเปรียบเทียบการสืบเสาะหาความรู้ของนกั วิทยาศาสตรแ์ ละของผู้เรียน ๗๐
ตารางท่ี ๓ ระดับของการสอนวทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ ๗๑
ตารางท่ี ๔ การเปรียบเทียบในวฏั จกั รการเรยี นรู้ของคาร์ปลัซและวฏั จกั รการเรยี นรู้แบบ ๕ ขนั้ ๘๐

กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์



จดั การเรียนรูท้ ่ใี หผ้ เู้ รยี นใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ ชว่ ยผเู้ รยี นเช่ือมโยงความรูห้ รอื
ควบคูก่ บั การพัฒนาและฝึกฝนทกั ษะทีจ่ �ำ เป็น แนวคดิ (Concept) ใหเ้ ป็น
โครงข่ายความรู้ (Network)
ส�ำ หรบั ศตวรรษท่ี ๒๑ และกระบวนการออกแบบ
เชิงวิศวกรรม เพ่ือแกป้ ัญหาในชีวิตจรงิ ประเมินการเรียนรู้ทั้งแบบระหว่างเรยี น
(Formative Assessment) และ
ศกึ ษาหลกั สูตร และผลการเรยี นร้ใู หเ้ ขา้ ใจ การจัดการเรยี นร�ู
พจิ ารณาเชอ่ื มโยงกบั ผลการเรยี นรขู้ องกลมุ่ สาระอน่ื  ๆ วิทยาศาสตร� แบบสรุปรวม (Summative Assessment)
ผู�สอนต�อง ด้วยเครื่องมือทีห่ ลากหลาย

มีองคค์ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ท่ีเขม้ แข็ง เลอื กและใชก้ ลวิธีการจัดการเรยี นรู้ท่เี ปิดโอกาสให้
ช่วยเหลือให้ผู้เรยี นได้พัฒนาความรู้ นกั เรียนได้คิด สบื เสาะและใช้เทคโนโลยีรว่ มสมัย
และทักษะตามผลการเรยี นรู้
ผา่ นการเรยี นรูอ้ ย่างสนุกสนาน
วางแผนการจัดการเรยี นรู้ สรรหาและ จดั การเรยี นรูท้ ี่ใหผ้ ู้เรียนได้ลงมอื ปฏบิ ัติ
เลอื กกิจกรรมท่สี อดคล้องกบั ผลการเรียนรู้ ผา่ นการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry) และ
สอดคล้องกับธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์
เพอื่ ให้นกั เรียนได้ลงมอื ปฏิบตั ิ
(Nature of Science)

กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์

1

เปา้ หมายของการจัดทำ�คู่มือการใชห้ ลกั สูตร

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ทมี และอนื่  ๆ ซึ่งเปน็ พืน้ ฐานสำ�คญั ทีพ่ ลเมืองแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ จำ�เป็นต้องเรยี นรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) และฝึกฝน ตลอดจนความรู้ด้านการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เป้าหมายของ
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ และใหส้ ถานศกึ ษา การจัดทำ�ส่วนน้ี เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำ�หรับบุคลากรทางการศึกษา และผู้ใช้
นำ�ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน ในการนี้สถาบัน หลักสตู รในการทำ�ความเขา้ ใจเกย่ี วกับความจ�ำ เป็นของการปรับหลักสูตร ตลอดจน
สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) จงึ ไดพ้ ฒั นาคมู่ อื การใชห้ ลกั สตู ร สามารถจดั การเรยี นรทู้ ส่ี อดคลอ้ งกบั หลกั สตู รและศตวรรษที่ ๒๑ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร อย่างมีความสุข ผ่านการลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้เพื่อทำ�ความเข้าใจแนวคิด
แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ู้ใชห้ ลักสตู ร อาทิ ทางวิทยาศาสตร์ ฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ และสามารถเชื่อมโยงและนำ�มา
บุคลากรทางการศึกษา ผู้ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ทุกระดับของประเทศ ใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจำ�วันและอาชีพได้
ผเู้ ขยี นต�ำ ราและสอ่ื การเรยี นรปู้ ระกอบหลกั สตู ร และส�ำ นกั พมิ พต์ า่ ง ๆ ไดใ้ ช้ประโยชน์
ในการจัดทำ�หรือจัดหาตำ�ราเรียน สื่อการเรียนรู้ประกอบหลักสูตร การจัดทำ� ส่วนท่ี ๒ การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้
แบบทดสอบและข้อสอบการประเมินคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครูและ
สถานศกึ ษา และอื่น ๆ ให้สอดคลอ้ งกบั เจตนารมณข์ องหลกั สตู ร หลกี เล่ียงการเกดิ เป็นการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ความสับสนหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ต่าง ๆ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง
ท่รี ะบุไว้ในหลกั สูตรเช่นที่ผา่ นมา พ.ศ. ๒๕๖๐) รายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการ
น�ำ เสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบของตาราง ประกอบด้วย
คู่มือการใช้หลักสูตร ฯ ฉบับนี้จำ�แนกเนื้อหาสาระสำ�คัญออกเป็น ๒ ส่วน
ดงั นี้ - การวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมการเรยี นรดู้ า้ นพทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain)
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) และดา้ นเจตคติ (Affective
สว่ นที่ ๑ ความรแู้ ละแนวคดิ ทว่ั ไปเก่ยี วกับหลกั สูตร Domain) ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางของผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้
ผเู้ รียนได้แสดงออกมาหลงั จากเรียนรู้ตามผลการเรียนรูเ้ หล่านน้ั
ประกอบดว้ ย ทมี่ าของการปรบั หลกั สตู ร เปา้ หมายของหลกั สตู ร เปา้ หมาย
ของการเรยี นวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณุ ภาพของผเู้ รยี น แนวการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ - แนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีนำ�ไปสู่การเรียนรู้และการเปล่ียนแปลง
ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ทักษะกระบวนการทาง พฤติกรรมการเรียนรู้ท้ังสามด้านของผู้เรียน เปิดกว้างให้ผู้สอน
วทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะการคดิ ระดบั สงู ทกั ษะการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจ ทกั ษะกระบวนการ และผู้ใช้หลักสูตรสามารถออกแบบและสร้างสรรค์แผนการจัดการ
สำ�หรับการออกแบบและเทคโนโลยี ทักษะการเรียนรู้ร่วมกันและการทำ�งานเป็น

กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
วชิ าฟิสกิ ส์

2

เรยี นรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ใหเ้ หมาะสมกบั บริบทของตนเอง แต่ยงั - แนวการประเมนิ การเรียนรทู้ ส่ี อดคล้องกบั พทุ ธพิ สิ ยั ทักษะพสิ ัย และ
คงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ผ่าน เจตคติ ทว่ี เิ คราะหไ์ ดจ้ ากผลการเรยี นรู้ ตลอดจนแนวการประเมนิ ทกั ษะ
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แหง่ ศตวรรษที่ ๒๑

ตัวอยา่ งการนำ�เสนอรายละเอยี ดของการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ และแนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ แสดงไว้ดังภาพท่ี ๑

ฟสิ ิกส์
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4

ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 95 96 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้
สาระฟสิ กิ ส์
หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล การอภปิ ราย
1. เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ ปรมิ าณ และกระบวนการวดั การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง แรงและกฎการเคลอ่ื นทข่ี องนวิ ตนั กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทาน ร่วมกนั และการนำาเสนอผล)
ผลการเรียนรู้ สมดลุ กลของวัตถุ งานและกฎการอนุรกั ษ์พลังงานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ กั ษโ์ มเมนตัม การเคลอ่ื นที่แนวโค้ง รวมท้ังนาำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. ความรว่ มมอื การทาำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ าำ
1. สืบคน้ และอธบิ ายการคน้ หาความร้ทู างฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ังพฒั นาการของหลกั การและแนวคิดทางฟิสิกสท์ ีม่ ีผลตอ่ การแสวงหา 3. การคดิ และการแกป้ ญั หา (กจิ กรรม เกมหรอื

ความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี ละครวิทยาศาสตร์)

การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านจิตวิทยาศาสตร์
1. ความอยากรอู้ ยากเห็น
2. ความรอบคอบ

ด้านความรู้ 1. นำาเขา้ สบู่ ทเรียน โดยการต้งั คาำ ถามหรือให้นกั เรียนยกตัวอยา่ งเหตุการณ์ ดา้ นความรู้
ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสบื เสาะคน้ พบทางฟสิ กิ ส ์ และนกั วทิ ยาศาสตรท์ ร่ี จู้ กั
1. ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึง ซ่ึงเน้น 2. ยกตัวอย่างเก่ียวกับการค้นพบทางฟิสิกส์ จากน้ันให้นักเรียนสืบค้น 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะ
การสบื เสาะหาหลกั การและองคค์ วามรตู้ า่ ง ๆ หาความรู้ทางฟิสิกส์ จากการสรุปและการเขียน
และอภิปรายร่วมกัน โดยเน้นที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ผังมโนทศั น์
เพอ่ื อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตโิ ดยเฉพาะ บคุ ลิกลักษณะอนั พึงประสงค์ของนักวทิ ยาศาสตร ์
ทเ่ี กีย่ วกับระบบและกลไกทางกายภาพ 3. จดั กจิ กรรม เชน่ เกม ละครทางวทิ ยาศาสตร ์ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกบั 2. ประวตั คิ วามเปน็ มาของพฒั นาการทางฟสิ กิ ส ์ ฟสิ กิ ส์
2. ประวตั คิ วามเปน็ มาของพฒั นาการทางฟสิ กิ ส์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรทู้ างฟิสกิ ส์ กับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการ
3. ฟสิ กิ สก์ บั การพฒั นาวทิ ยาศาสตร ์ เทคโนโลย ี 4. จดั กจิ กรรมเกย่ี วกบั การคน้ พบทางฟสิ กิ ส ์ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ประสบการณ์ แสวงหาความรใู้ หม ่ จากการสรปุ การทาำ แบบฝกึ หดั
ตรงในการค้นหาหลักการหรือองค์ความรู้ทางฟิสิกส์โดยใช้กระบวนการ และแบบทดสอบ
และการแสวงหาความรู้ใหม่ สบื เสาะหาความร ู้ และอภิปรายรว่ มกนั เก่ียวกบั กิจกรรม
5. ให้นักเรียนสืบค้นและอภิปรายร่วมกัน โดยเน้นการเชื่อมโยงการค้นพบ ด้านทักษะ
ด้านทักษะ ในอดีตกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพ่ือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำาวันและ การลงความเห็นจากข้อมูล การส่ือสารสารสนเทศ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การนำาเทคโนโลยีไปใช้ค้นหาความรู้ใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงอาจให้
การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (ความนา่ เชอื่ ถอื นักเรียนเสนอสถานการณ์ท่ีสามารถนำาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาเป็น และการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ความรว่ มมอื การทาำ งานเปน็ ทมี
เครอ่ื งมอื หาคาำ ตอบ จากน้นั นำาเสนอผล และภาวะผู้นำา การคิดอย่างมีวิจารณญาณและ
และความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ) 6. ใหน้ กั เรยี นสรุปเพอ่ื ตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ การแก้ปญั หา จากการทำากจิ กรรม
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21
1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์
(มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ
ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ี
เขียนรายงานและจากการนำาเสนอผล

ภาพท่ี ๑  ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้
รายละเอยี ดของค่มู ือการใชห้ ลักสูตร ฯ มดี งั ตอ่ ไปนี้

I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I PST ๑๑ความร้แู ละแนวคิดทว่ั ไปเกสสีย่ ่วว่วกนนับททหล่ี่ี ักสตู ร I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST I PST
I PST I P I PST I PST I PST I PS I PST I PST I PST
ความรูแ้ ละแนวคิดท่วั ไปเก่ยี วกับหลกั สตู ร

กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟิสิกส์

4

๑. ทม่ี าและเหตผุ ลของการปรบั หลกั สตู ร

ด้วยปัจจุบันน้ีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าอย่าง ๒. จัดเรียงลำ�ดับตัวชี้วัดในสาระต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงและร้อยเรียงกันจาก

รวดเร็ว การปรับหลักสูตรและแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แนวคิดท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่แนวคิดท่ีเป็นนามธรรม หรือจากแนวคิดที่

และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความก้าวหน้านี้เป็นสิ่งจำ�เป็นสำ�หรับการเตรียม ใกลต้ วั ไปสไู่ กลตวั หรอื จากแนวคดิ ทเี่ ปน็ พน้ื ฐานในการเรยี นแนวคดิ อน่ื  ๆ

ความพร้อมพลเมืองในอนาคตของชาติสำ�หรับการประกอบอาชีพและดำ�รงชีวิตใน ในสาระวิทยาศาสตร์ ต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ จนถึงชั้นมัธยมศึกษา

สังคมโลกแห่งศตวรรษที่ ๒๑ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปที ่ี ๖

(สสวท.) ตระหนักถึงความสำ�คัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิด ๓. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช

ผลสมั ฤทธต์ิ อ่ ผเู้ รยี นมากทส่ี ดุ จงึ ไดร้ ว่ มกบั ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ๒๕๕๑ กบั หลกั สตู รของประเทศชน้ั น�ำ ดา้ นการจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์

(สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ในการทบทวนและปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา เพื่อปรับหลักสตู รใหม้ ีความทนั สมยั และทัดเทียมนานาชาติ

ข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ให้ทันสมัยและทัดเทียมนานาชาติ อาทิเช่น มีการ ๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิดวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการพัฒนาความ
จัดเรียง โยกย้ายแนวคิดรวบยอดและทักษะต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน คิดระดับสูง ทั้งการคิดเป็นเหตุเป็นผล การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
ทัดเทียมนานาชาติ พิจารณาการเช่ือมโยงกันของเนื้อหาต่าง ๆ ทั้งภายในสาระ วิจารณญานและการแก้ปัญหา ด้วยการทำ�กิจกรรมและปฏิบัติการต่าง ๆ
และระหว่างสาระ คำ�นึงถึงความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งสนกุ สนานควบคกู่ บั การฝกึ ฝนและพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เปน็ วิทยาศาสตร์ และทักษะสำ�คัญในศตวรรษท่ี ๒๑ จนเกิดสมรรถนะด้าน
พลเมืองของประเทศที่มีสมรรถนะเหมาะสมกับการดำ�รงชีวิตและประกอบอาชีพ วิทยาศาสตร์ที่สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตได้อย่าง
ส�ำ หรับศตวรรษท่ี ๒๑ อันนำ�ไปสู่การพัฒนาประเทศชาตติ ่อไป เปน็ ระบบ เชอื่ มนั่ และศรทั ธาในความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

จดุ เดน่ ของหลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.

๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ มดี ังน้ี

๑. จดั แนวคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงเน้อื หาสาระทางวิทยาศาสตร์
และกระบวนการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันท้ังภายใน
สาระการเรียนรู้และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ นอกจากน้ียังมีการเช่ือมโยงระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ เชน่ คณติ ศาสตร์ สงั คมศกึ ษา สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี น
ไดเ้ รียนร้เู นือ้ หาตา่ ง ๆ อย่างตอ่ เนอื่ งเชื่อมโยงกนั และไมซ่ ำ้�ซ้อน

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

5

รายวชิ าเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ประกอบด้วย ๔ สาระ ได้แก่ สาระชวี วิทยา สาระ
เคมี สาระฟิสิกส ์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ โดยแต่ละสาระได้กำ�หนดประสิทธิผลของการเรียนรภู้ ายใตเ้ นื้อหาสาระ (strand of
content) ดงั นี้

สาระชีววทิ ยา
(ขอ้ ๑ - ๕)

สาระฟิสกิ ส์ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ สาระเคมี
(ขอ้ ๑ - ๔) วิทยาศาสตร์ (ขอ้ ๑ - ๓)

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
(ข้อ ๑ - ๓)

ภาพที่ ๒  สาระของรายวิชาเพิม่ เตมิ ในกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ กิ ส์

6

๒. เป้าหมายของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

ความหมายของวทิ ยาศาสตร์และธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ เราสามารถทำ�ความเขา้ ใจสง่ิ ต่าง ๆ บนโลกได้

วทิ ยาศาสตร์ (Science) เปน็ ความรทู้ เ่ี กดิ จากสตปิ ญั ญาและความพยายาม ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนโลกหรือในเอกภพ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นแบบรูป (Pattern)
ของมนษุ ย์ในการศกึ ษาเพอ่ื ท�ำ ความเข้าใจส่ิงตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกและในเอกภพ สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา วิธีการศึกษาที่เป็นระบบ ผนวกกับการใช้ประสาท
สมั ผสั และเครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู นกั วทิ ยาศาสตรเ์ ชอ่ื วา่ สง่ิ ตา่ ง ๆ
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาหลายคนได้อธิบายถึงธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ สามารถท�ำ ความเขา้ ใจได้และคำ�ถามใหม ่ ๆ เกดิ ข้นึ ได้เสมอ ยิ่งข้อมลู มีความถูกต้อง
ว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ที่ทำ�ให้แตกต่างจากศาสตร์ความรู้แขนง แม่นยำ�มากข้ึนก็ยิ่งทำ�ให้มนุษย์เข้าใจและเข้าใกล้ความจริงของปรากฏการณ์น้ัน ๆ
อื่น ๆ รวมถึงเป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคำ�อธิบายท่ีบ่งช้ีเก่ียวกับอาชีพ ยงิ่ ขน้ึ
นักวิทยาศาสตร์ ลักษณะและวิธีการทำ�งานของนักวิทยาศาสตร์ ความรู้และ
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงผลของวิทยาศาสตร์ท่ีมีต่อสังคม (กุศลิน, ๒๕๕๓; แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์มีความไม่แนน่ อน สามารถเปลีย่ นแปลงได้
McComas & Almazroa, 1988)
แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ จากการสังเกต การทดลอง
American Association for the Advancement of Science เป็น การสร้างแบบจำ�ลองอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นระบบ เพื่อทำ�ความเข้าใจ
สมาคมท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในประเทศ เก่ียวกับปรากฏการณ์หรือสิ่งท่ีสนใจ แต่ระหว่างการทำ�งานก็มักเกิดคำ�ถามใหม่ข้ึน
สหรัฐอเมริกา ได้อธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ โดยจำ�แนกแยกแยะ ตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด ส่งผลให้มีการปรับปรุงหรือคิดค้นวิธีการใหม่ในการค้นหา
ออกเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ โลกในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Worldview) คำ�ตอบ และอาจได้หลักฐาน (Evidence) ใหม่ท่ีนำ�ไปสู่การสร้างคำ�อธิบายหรือ
การสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) และกจิ การทางวทิ ยาศาสตร์ องคค์ วามรูท้ างวิทยาศาสตร์
(Scientific Enterprise) (AAAS, 1993) ซึ่งมีรายละเอยี ดดังน้ี
ความรู้ทางวทิ ยาศาสตรม์ ีความคงทน และเชื่อถอื ได้
ด้านท่ี ๑ โลกในมมุ มองแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Worldview)
แมว้ า่ วทิ ยาศาสตรจ์ ะยอมรบั เรอื่ งความไมแ่ นน่ อน และความไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ของความรู้
ด้วยวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ท่ีเกิดจากสติปัญญาและความพยายามของ หรอื ค�ำ อธบิ ายเกยี่ วกบั สงิ่ ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ แตด่ ว้ ยความรทู้ างวทิ ยาศาสตรพ์ ฒั นา
มนุษย์ในการค้นหาคำ�ตอบเก่ียวกับส่ิงที่เกิดในธรรมชาติท้ังบนโลกและนอกโลก ข้ึนมาผ่านวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซ้ำ�แล้วซำ้�เล่าเป็นระยะเวลาหนึ่งจนมั่นใจใน
นักวิทยาศาสตร์จึงมีมุมมองเฉพาะตัวเก่ียวกับการได้มาซ่ึงความรู้ของปรากฏการณ์ คำ�อธิบายน้ัน รวมถึงมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากสังคมนักวิทยาศาสตร์ จน
ต่าง ๆ ในธรรมชาติ ซงึ่ อาจแตกตา่ งจากมุมมองของศาสตรอ์ น่ื  ๆ ดังน้ี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชื่อถือได้ และกว่าการค้นพบความรู้ใหม่จะลบล้างความรู้
เดิมไดอ้ าจใชร้ ะยะเวลายาวนาน

กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์

7

ทฤษฎีและกฎมคี วามสัมพนั ธ์กนั แต่แตกต่างกนั ด้านที่ ๒ การสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Inquiry)

มักมีแนวความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า กฎเป็นทฤษฎีท่ีพัฒนาแล้ว จึงมีความ การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยการให้เหตุผล
น่าเช่ือถือและมีคุณค่ามากกว่าทฤษฎี ซ่ึงในความเป็นจริงแล้ว ท้ังกฎและทฤษฎี เชงิ ตรรกะ (Logic) ขอ้ มลู หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical Evidence) จนิ ตนาการ
ต่างก็เป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์ท่ีมีความสำ�คัญเท่าเทียมกัน โดย กฎ (Law) คือ และการคิดสร้างสรรค์ เป็นการทำ�งานเพ่ือสืบเสาะหาคำ�อธิบายสิ่งท่ีสนใจทั้งโดย
แบบรปู ทปี่ รากฏในธรรมชาติ สว่ น ทฤษฎี (Theory) คอื ค�ำ อธบิ ายแบบรปู ทปี่ รากฏ ส่วนตัวและร่วมกันของกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน การสืบเสาะหาความรู้ทาง
ในธรรมชาตนิ น้ั  ๆ เชน่ การใชท้ ฤษฎพี ลงั งานจลนข์ องอนภุ าคมาอธบิ ายแบบรปู ความ วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ มากกวา่ “วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร”์ หรอื “การทดลองทางวทิ ยาศาสตร”์
สัมพันธ์ระหว่างปรมิ าตรและอุณหภูมิตามกฎของชาร์ล แต่เป็นการค้นหาคำ�ตอบที่สนใจผ่านการทำ�งานอย่างเป็นระบบ รอบคอบ แต่มี
อิสระ และไม่เป็นลำ�ดับข้ันท่ีตายตัว ลักษณะสำ�คัญของการสืบเสาะหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตรไ์ ม่สามารถตอบได้ทุกคำ�ถาม วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย

วิทยาศาสตร์เชื่อถือข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีได้จากการสังเกต ทดลอง หรือ ๑. ค�ำ ถามทส่ี ามารถหาคำ�ตอบหรือตรวจสอบได้
วิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ส่ิงต่าง ๆ ในโลกหลายส่ิง ไม่สามารถหา
คำ�ตอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความเช่ือเก่ียวกับเร่ืองจิตวิญญาณ ๒. ขอ้ มลู หลักฐานทงั้ เชงิ ประจักษแ์ ละจากที่ผู้อ่ืนคน้ พบ
สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ความเชื่อเร่ืองปาฏิหาริย์ โชคชะตา หรือโหราศาสตร์
ดังน้ัน นักวิทยาศาสตร์จึงไม่มีหน้าท่ีให้คำ�ตอบหรืออธิบายในเรื่องเหล่าน้ี แม้ว่า ๓. การทำ�ความเข้าใจ วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ แล้วหาความสัมพันธ์ของ
บางคร้งั อาจมีแนวคำ�ตอบหรอื ทางเลอื กทเี่ ปน็ ไปไดก้ ็ตาม ข้อมลู และสรา้ งคำ�อธบิ ายเพอ่ื ตอบคำ�ถามทส่ี งสยั

๔. การเชอื่ มโยง เปรยี บเทยี บค�ำ อธิบายของตนเองกบั ผูอ้ ่นื

๕. การสื่อสารคำ�อธิบายหรอื ส่ิงที่คน้ พบให้ผู้อื่นทราบ

การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะสำ�คัญตามท่ีกล่าว
มาข้างต้น ไม่มีลำ�ดับข้ันตอนท่ีแน่นอน ในขณะเดียวกันอาจต้องสืบเสาะซำ้�แล้ว
ซำ้�เล่าเพ่ือตอบคำ�ถาม และอาจเกิดคำ�ถามใหม่ท่ีต้องสืบเสาะหาคำ�ตอบต่อไป
หมุนวนเช่นน้ีเป็นวฏั จกั ร ดังแสดงไว้ ดังภาพท่ี ๓

กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์

8

ภาพที่ ๓  วัฏจักรการสบื เสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตรแ์ บบชี้นำ�
ที่มา: Magnusson, S. J. and Palincsar, A. S. (2005). How students learn science in the classroom, p.460

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์

9

การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะท่ีทำ�ให้ นอกจากวทิ ยาศาสตรจ์ ะใหค้ ำ�อธบิ ายเกย่ี วกบั ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ แลว้ วทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตรแ์ ตกต่างจากศาสตร์อนื่  ๆ ดงั นี้ ยังให้ความสำ�คัญกับการทำ�นายซ่ึงอาจเป็นได้ทั้งการพยากรณ์ปรากฏการณ์ หรือ
เหตกุ ารณ์ในอนาคต หรอื ในอดีตทีย่ งั ไม่มกี ารคน้ พบหรือศึกษามากอ่ น
วทิ ยาศาสตรต์ อ้ งการหลกั ฐาน (Evidence)
นกั วทิ ยาศาสตรพ์ ยายามทจ่ี ะระบแุ ละหลีกเลีย่ งความล�ำ เอียง
การสร้างคำ�อธิบายหรือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จำ�เป็นต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์
(Empirical Evidence) จากการสงั เกต ทดลอง สรา้ งแบบจำ�ลอง หรือวธิ ีอืน่  ๆ เพอื่ ข้อมูลหลักฐานมีความสำ�คัญอย่างมากในการนำ�เสนอแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ให้ม่ันใจว่าสามารถทำ�ซ้ำ�ได้ และมีความถูกต้อง แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใดท่ีได้รับ นักวิทยาศาสตร์จะถามตัวเองก่อนเสมอว่ามีหลักฐานอะไรบ้างท่ีสนับสนุนแนวคิดนี้
การยอมรับจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสังคม ก็จะได้รับการยอมรับและเผยแพร่ให้ การรวบรวมหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตรจ์ งึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมคี วามถกู ตอ้ งแมน่ ย�ำ ปราศจาก
คนทั่วไปในสังคมได้เรียนรู้ ซ่ึงกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การค้นพบจนกระท่ังเป็น ความลำ�เอียงอันเกิดจากตัวผู้สังเกต กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือและวิธีการที่ใช้
ท่ียอมรับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสังคมอาจต้องใช้เวลานาน เช่น แม้ว่าไอสไตน์ การตคี วามหมาย หรอื การรายงานข้อมลู
ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๕ แต่กว่าทฤษฎีนี้จะได้รับการยอมรับ
จากสังคมนักวทิ ยาศาสตรต์ ้องใชเ้ วลาถงึ ๑๔ ปี วทิ ยาศาสตร์ไม่ยอมรับการมีอ�ำ นาจเหนอื บุคคลอ่ืน

วิทยาศาสตรม์ ีการผสมผสานระหวา่ งตรรกศาสตร์ (Logic) วทิ ยาศาสตรเ์ ชอ่ื วา่ บคุ คลใดหรอื นกั วทิ ยาศาสตรค์ นใด มชี อื่ เสยี งหรอื ต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ี
จนิ ตนาการ (Imagination) และการคิดสรา้ งสรรค์ (Creativity) การงานสงู อยา่ งไร ก็ไมม่ อี �ำ นาจตัดสนิ ว่า อะไรคือความจรงิ ไม่มใี ครมีสทิ ธพิ เิ ศษใน
การเข้าถึงความจริงมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกค้นพบ
การทำ�ความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกจะต้องใช้ความเป็นเหตุ ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถตรวจสอบได้ และหากแนวคิดใหม่นั้นถูกต้อง
เป็นผล (Logic) เพ่ือเชื่อมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับข้อมูลอื่น ๆ เช่น แนวคิด กว่าแนวคิดเดมิ กย็ ่อมได้รับการยอมรับแม้วา่ จะถูกคน้ พบโดยผไู้ มม่ ชี อ่ื เสยี ง ซ่ึงต้อง
ทางวิทยาศาสตร์ที่เก่ียวข้อง ข้อมูลหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Data Source) มาแทนทีค่ วามรู้เดิมท่คี ้นพบโดยคนมชี ่อื เสียงก็ได้
ที่ได้จากการสืบค้นเพ่ือสร้างคำ�อธิบาย และลงข้อสรุป หลายครั้งที่การสืบเสาะ
หาความรู้ทางวทิ ยาศาสตรย์ งั ตอ้ งใชจ้ ินตนาการและการคิดสร้างสรรค์

วทิ ยาศาสตรใ์ หค้ ำ�อธบิ ายและการพยากรณ์

นกั วทิ ยาศาสตรพ์ ยายามอธบิ ายปรากฏการณท์ สี่ งั เกตโดยใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์
ทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั ความนา่ เชอ่ื ถอื ของค�ำ อธบิ ายทางวทิ ยาศาสตรม์ าจากความสามารถ
ในการแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหลกั ฐานและปรากฏการณท์ ไี่ มเ่ คยคน้ พบมากอ่ น

กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

10

ดา้ นที่ ๓ กิจการทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีหลกั การทางจรยิ ธรรมในการดำ�เนินการ

วิทยาศาสตร์ คือ กิจกรรมของมนุษยชาติ ซ่ึงมีหลายมิติทั้งในระดับของ นักวิทยาศาสตร์ต้องทำ�งานโดยมีจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความซื่อสัตย์ใน
บุคคล สังคม หรือองค์กร โดยกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่กระทำ�อาจเป็นส่ิงที่ การบนั ทกึ ขอ้ มลู ความมใี จกวา้ ง เพราะในบางครงั้ ความตอ้ งการไดร้ บั การยกยอ่ งวา่
แบง่ แยกยุคสมัยตา่ ง ๆ ออกจากกันอยา่ งชัดเจน เป็นคนแรกที่ค้นพบความรู้ใหม่อาจทำ�ให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวไปในทางท่ีผิดได้ เช่น
การบิดเบือนข้อมูลหรือข้อค้นพบ จริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ท่ีสำ�คัญอีกประการ
• วิทยาศาสตรค์ ือกิจกรรมทางสังคมท่ีซบั ซ้อน ก็คือ การระวังอันตรายที่อาจเกิดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หรือการนำ�ผล
การศกึ ษาไปใช้
วิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมหน่ึงในระบบสังคมของมนุษย์ ดังนั้นปัจจัยต่าง ๆ ใน
สังคมมีผลต่อการสนับสนุนหรือขัดขวางกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องราว นกั วทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทางสงั คมในฐานะผเู้ ชย่ี วชาญและประชาชน
ในประวัติศาสตร์ ความเช่ือตามหลักศาสนา วัฒนธรรมและค่านิยมของสังคม คนหนึ่ง
หรือสถานะทางสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การโคลน (Cloning) เป็นกิจกรรม
ทางวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์สนใจและเห็นว่ามีประโยชน์ แต่ในเชิงสังคม ในบางคร้ังนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มี
แล้ว เรื่องนี้ยังเป็นเร่ืองที่มีข้อโต้แย้งอย่างกว้างขวาง และมีการยอมรับจากสังคม ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณเ์ ฉพาะทาง แตใ่ นบางครง้ั กเ็ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทางสงั คม
หลากหลายแตกตา่ งกนั ไป ในฐานะประชาชนคนหนงึ่ ที่มีมุมมอง ความสนใจ ค่านยิ ม และความเช่อื ส่วนตวั

วทิ ยาศาสตรแ์ ตกแขนงเปน็ สาขาตา่ ง ๆ และมกี ารด�ำ เนนิ การในหลายองคก์ ร วิทยาศาสตรเ์ นน้ การแสวงหาความรู้ สว่ นเทคโนโลยจี ะเนน้ การใช้ความรู้

วิทยาศาสตร์ คือ การรวบรวมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงมีความหลากหลายและ ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลายคนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์
แตกเป็นแขนงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ตามปรากฏการณ์ที่ศึกษา เป้าหมาย และ และเทคโนโลยีมีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่แท้ท่ีจริงแล้ว ท้ังสองมี
เทคนิควิธีการที่ใช้ ซึ่งมีประโยชน์ในการจัดโครงสร้างการทำ�งานและข้อค้นพบทาง จุดเน้นที่แตกต่างกัน โดยวิทยาศาสตร์จะเน้นการแสวงหาความรู้เพ่ือการต่อยอด
วิทยาศาสตร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว ความรู้หรือคำ�อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่มีเส้นแบ่ง ความรู้ สว่ นเทคโนโลยจี ะเนน้ การใชค้ วามรเู้ พอื่ ตอบสนองตอ่ การด�ำ รงชวี ติ ทสี่ ะดวก
หรอื ขอบเขตระหวา่ งแขนงตา่ ง ๆ โดยสนิ้ เชงิ ในทางกลบั กนั อาจตอ้ งเชอื่ มโยงระหวา่ ง สบายมากย่ิงข้ึน อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กัน
แขนงความรู้ เช่น การอธิบายเก่ียวกับการสร้างอาหารของพืช จะต้องใช้แขนง ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์สง่ ผลตอ่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซ่งึ ในทสี่ ดุ กส็ ่งผลต่อ
ความรู้ในเร่ืองพืช พลังงานและการเปลี่ยนรูปพลังงาน โมเลกุลและสารประกอบ การพัฒนาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงทางเคมี นอกจากนี้ กิจการทางวิทยาศาสตร์ยังมีการดำ�เนินการ
ในหลากหลายองค์กร เช่น มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
หนว่ ยงานรัฐบาล หรอื องค์กรอิสระ แตอ่ าจมีจุดเนน้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ กิ ส์

11

การสบื เสาะหาความรูท้ างวิทยาศาสตรใ์ นหอ้ งเรียน ๓. ผู้เรียนอธิบายแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ โดย
ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ต้องแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล
เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้ เชงิ ประจักษท์ ่รี วบรวมได้ สามารถจำ�แนก วิเคราะห ์ ลงความเหน็ จาก
ผเู้ รยี นไดส้ บื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรต์ ามทห่ี ลกั สตู รก�ำ หนด ดว้ ยกระบวนการ ข้อมูล พยากรณ์ ต้งั สมมติฐาน หรอื ลงข้อสรปุ
แบบเดยี วกนั กบั ทน่ี กั วทิ ยาศาสตรส์ บื เสาะ แตอ่ าจมรี ปู แบบทหี่ ลากหลายตามบรบิ ท
และความพร้อมของผู้สอนและผู้เรียน เช่น การสืบเสาะหาความรู้แบบปลายเปิด ๔. ผเู้ รยี นประเมนิ ค�ำ อธบิ ายของตนกบั ค�ำ อธบิ ายอน่ื  ๆ ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ
(Opened Inquiry) ที่ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการสืบเสาะหาความรู้ของตนเองตั้งแต่ ความเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนสามารถประเมิน (Judge)
การสร้างประเด็นคำ�ถาม การสำ�รวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายสิ่งที่ ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ เพื่อตัดสินใจ (Make Decision) ว่า ควร
ศึกษาโดยใช้ข้อมูลท่ียังไม่มีการนำ�มาประมวล (Data) หรือหลักฐาน (Evidence) ท่ี เพิกเฉยหรือนำ�คำ�อธิบายน้ันมาพิจารณาและปรับปรุงคำ�อธิบายของ
ได้จากการสำ�รวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องหรือคำ� ตนเอง ในขณะเดียวกันก็สามารถประเมินคำ�อธิบายของเพื่อน บุคคล
อธบิ ายอนื่ เพอื่ ปรบั ปรงุ ค�ำ อธบิ ายของตนและน�ำ เสนอตอ่ ผอู้ นื่ นอกจากน้ี ผสู้ อนอาจ อน่ื หรอื แหลง่ ขอ้ มลู อน่ื แลว้ น�ำ มาเปรยี บเทยี บ เชอื่ มโยง สมั พนั ธ์ แลว้
ใช้การสืบเสาะหาความรู้ท่ีตนเองเป็นผู้กำ�หนดแนวในการทำ�กิจกรรม (Structured สร้างคำ�อธบิ ายอยา่ งมเี หตุผลและหลกั ฐานสนับสนนุ ซงึ่ สอดคล้องกับ
Inquiry) โดยผ้สู อนสามารถแนะนำ�ผู้เรียนไดต้ ามความเหมาะสม ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ท่ีได้รบั การยอมรับแลว้

ในการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ผสู้ อนสามารถ ๕. สื่อสารการค้นพบของตนให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ผู้เรียนได้สื่อสารและนำ�เสนอ
ออกแบบการสอนให้มลี ักษณะสำ�คญั ของการสืบเสาะ ดงั นี้ การค้นพบของตนในรูปแบบท่ีผู้อื่นเข้าใจ สามารถทำ�ตามได้ รวมท้ัง
เปิดโอกาสให้ได้มีการซักและตอบคำ�ถาม ตรวจสอบข้อมูล ให้เหตุผล
๑. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในประเด็นคำ�ถามทางวิทยาศาสตร์ คำ�ถามทาง วจิ ารณแ์ ละรบั ค�ำ วจิ ารณแ์ ละไดแ้ นวคดิ หรอื มมุ มองอนื่ ในการปรบั ปรงุ
วิทยาศาสตร์ในท่ีนี้หมายถึงคำ�ถามท่ีนำ�ไปสู่การสืบเสาะค้นหาและ การอธบิ าย หรือวิธีการสบื เสาะค้นหาคำ�ตอบ
รวบรวมข้อมูลหลักฐาน คำ�ถามที่ดีควรเป็นคำ�ถามท่ีผู้เรียนสามารถ
หาข้อมลู หรือหลักฐานเชิงประจกั ษ์เพ่อื ตอบคำ�ถามน้นั  ๆ ได้

๒. ผู้เรียนให้ความสำ�คัญกับข้อมูลหลักฐานในการอธิบายและประเมิน
คำ�อธิบายหรือคำ�ตอบ ผู้เรียนต้องลงมือทำ�ปฏิบัติการ เช่น สังเกต
ทดลอง สร้างแบบจำ�ลอง เพ่ือนำ�หลักฐานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ มา
เชอ่ื มโยง หาแบบรูป และอธบิ ายหรอื ตอบคำ�ถามท่ศี ึกษา

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ มีสว่ นรว่ มในคำ�ถาม เก็บข้อมูลหลักฐาน
วชิ าฟิสิกส์
การสบื เสาะหา
12

สื่อสารและใหเ้ หตผุ ล

แผน ัผง ความรู้

เช่อื มโยงสง่ิ ทพ่ี บกบั สิ่งท่ีผู้อืน่ พบ อธิบายส่ิงทพ่ี บ

ภาพท่ี ๔  วฏั จกั รการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรใ์ นหอ้ งเรยี น

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
วชิ าฟิสิกส์

13

ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ ผู้สอนสามารถออกแบบการสอนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาท่ี
สอน สภาพหอ้ งเรยี น ความพรอ้ มของผสู้ อนและผเู้ รยี น และบรบิ ทอน่ื ๆ การยดื หยนุ่ ระดบั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรสู้ ามารถอธบิ ายได้
ดงั ตารางท่ี ๑

ตารางท่ี ๑  ลกั ษณะจำ�เปน็ ของการสบื เสาะหาความรใู้ นชั้นเรยี นและระดบั ของการสบื เสาะหาความรู้

ลักษณะจ�ำ เปน็ ระดบั การสืบเสาะหาความรู้

๑. ผู้เรยี นมสี ่วนรว่ ม ผเู้ รียนเปน็ ผู้ถามคำ�ถาม ผู้เรียนเลือกค�ำ ถามและ ผ้เู รียนพิจารณาและ ผู้เรยี นสนใจคำ�ถามจาก
ในประเด็นค�ำ ถาม สร้างคำ�ถามใหม่จากรายการ ปรบั คำ�ถามที่ครถู ามหรอื สอื่ การสอนหรอื แหล่งอ่ืน ๆ
ทางวทิ ยาศาสตร์ ผเู้ รยี นก�ำ หนดข้อมลู ค�ำ ถาม คำ�ถามจากแหล่งอื่น
ทจ่ี �ำ เปน็ ในการตอบค�ำ ถาม ผเู้ รยี นได้รับขอ้ มลู
๒. ผเู้ รยี นให้ความส�ำ คัญกบั และรวบรวมข้อมลู ผู้เรียนได้รบั การชีน้ �ำ ในการ ผเู้ รยี นได้รบั ข้อมูล และการบอกเลา่ เกย่ี วกับ
ข้อมูลหลกั ฐานทีส่ อดคล้อง เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทจ่ี ำ�เปน็ เพือ่ นำ�ไปวิเคราะห์ การวิเคราะห์ขอ้ มูล
กับค�ำ ถาม ผู้เรยี นอธบิ ายสิง่ ท่ีศึกษา ผ้เู รียนไดร้ บั หลักฐาน
หลงั จากรวบรวมและ ผู้เรยี นได้รบั การช้ีแนะ ผู้เรียนได้รับแนวทางที่ หรอื ขอ้ มูล
๓. ผ้เู รียนอธบิ ายสง่ิ ที่ศึกษา สรปุ ข้อมลู /หลกั ฐาน ในการสร้างค�ำ อธิบายจาก เปน็ ไปไดเ้ พ่ือสรา้ งค�ำ อธิบาย
จากหลักฐานหรือขอ้ มูล ข้อมลู หลกั ฐาน จากข้อมลู หลกั ฐาน ผูเ้ รียนได้รบั การเชอื่ มโยง
ผเู้ รยี นตรวจสอบแหลง่ ขอ้ มูล ทั้งหมด
๔. ผเู้ รียนเชอ่ื มโยง อืน่ และเชื่อมโยงกบั คำ�อธบิ าย ผ้เู รยี นไดร้ ับการช้นี �ำ เกย่ี วกับ ผู้เรยี นไดร้ ับการแนะน�ำ ถงึ
ค�ำ อธบิ ายกบั องค์ความรู้ ทสี่ รา้ งไว้ แหล่งข้อมลู และขอบเขต ความเชือ่ มโยงท่เี ปน็ ไปได้ ผู้เรียนได้รับค�ำ แนะนำ�ถึง
ทางวทิ ยาศาสตร์ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ ขนั้ ตอนและวธิ ีการสอื่ สาร
ผู้เรียนสรา้ งข้อคิดเหน็ ที่มี ผเู้ รียนได้รับแนวทางกว้าง ๆ
๕. ผูเ้ รยี นสอื่ สารและ เหตผุ ลและมีหลกั การ ผเู้ รียนไดร้ ับการฝึกฝน สำ�หรับการสอ่ื สารท่ชี ดั เจน
ให้เหตุผลเกี่ยวกับ เพ่ือส่ือสารค�ำ อธบิ าย ในการพฒั นาวิธกี ารส่อื สาร ตรงประเดน็
การคน้ พบของตน

มาก การจัดการเรียนรู้โดยผเู้ รียน นอ้ ย
น้อย การช้ีน�ำ โดยครหู รือสอ่ื การสอน มาก

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วิชาฟิสกิ ส์

14

๓. เรยี นร้อู ะไรในวทิ ยาศาสตร์

ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ วิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทั้งด้านเน้ือหาและปฏิบัติการ
ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้ท้ังกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต โดยใชก้ ระบวนการในการสบื เสาะหาความรู้ และแกป้ ญั หาทหี่ ลากหลาย เนน้ ทกั ษะ
การสำ�รวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำ�ผลที่ได้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด ปฏบิ ตั กิ ารทางวทิ ยาศาสตรซ์ ง่ึ เปน็ สว่ นส�ำ คญั ทท่ี �ำ ใหผ้ เู้ รยี นไดล้ งมอื ท�ำ กจิ กรรมตา่ ง ๆ
และองค์ความรู้ เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจในเนอ้ื หานน้ั ๆ ดยี งิ่ ขนึ้ ใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรทู้ กุ ขนั้ ตอน
โดยกำ�หนดสาระสำ�คัญดังนี้
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จงึ มีเป้าหมายที่สำ�คัญดังน้ี
ชีววิทยา
๑. เพื่อให้เข้าใจแนวคิด หลักการ ทฤษฎี กฎและความรู้พ้ืนฐานใน
วทิ ยาศาสตร์ เรียนรู้เก่ียวกับ การศึกษาชีววิทยา สารท่ีเป็นองค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต เซลล์ของ
ส่ิงมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ
๒. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และข้อจำ�กัด โครงสรา้ งและการท�ำ งานของสว่ นตา่ ง ๆ ในพชื ดอก ระบบและการท�ำ งานในอวยั วะ
ของวิทยาศาสตร์ ตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ และสิง่ มีชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม

๓. เพ่ือใหม้ ที ักษะที่สำ�คญั ในการสืบเสาะหาความรแู้ ละพัฒนาเทคโนโลยี เคมี

๔. เพื่อให้ตระหนักการมีผลกระทบซ่ึงกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั ปรมิ าณสาร องคป์ ระกอบและสมบตั ขิ องสาร การเปลย่ี นแปลงของสาร
เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์ และสภาพแวดล้อม ทกั ษะและการแก้ปัญหาทางเคมี

๕. เพื่อนำ�ความรู้ในแนวคิดและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และ ฟสิ ิกส์
เทคโนโลยีไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ สังคมและการดำ�รงชีวติ
เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสิกส์ แรงและการเคล่ือนที่ และ
๖. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการ พลงั งาน
แก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถใน
การประเมินและตัดสนิ ใจ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

๗. เพ่ือให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม เรียนรู้เก่ียวกับ โลกและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ข้อมูลทาง
ในการใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์ ธรณีวิทยาและการนำ�ไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลกการ
เปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดำ�รงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และ
ดาราศาสตรก์ ับมนุษย์

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
วชิ าฟิสกิ ส์

15

โดยมรี ายละเอียดทก่ี ำ�หนดเนอ้ื หาสาระดงั น้ี ๕. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงาน
และการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม
สาระชีววิทยา การเปลย่ี นแปลงแทนทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ ประชากรและรปู แบบ
การเพม่ิ ของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ปญั หา และ
๑.เข้าใจธรรมชาติของส่ิงมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทาง ผลกระทบทเ่ี กิดจากการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปญั หา
วิทยาศาสตร์ สารที่เป็นองค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีใน
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ สาระเคมี
การลำ�เลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจ
ระดับเซลล์ ๑. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ
พันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและ
๒. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบน สมบัติของสารประกอบอินทรีย์ และพอลิเมอร์ รวมทั้งการนำ�ความรู้
โครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน ไปใช้ประโยชน์
เทคโนโลยที างดเี อน็ เอ หลกั ฐานขอ้ มลู และแนวคดิ เกย่ี วกบั ววิ ฒั นาการ
ของสง่ิ มชี วี ติ ภาวะสมดลุ ของฮารด์ -ี ไวนเ์ บริ ก์ การเกดิ สปชี สี ใ์ หม่ ความ ๒. เขา้ ใจการเขยี นและการดลุ สมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมี
หลากหลายทางชีวภาพ กำ�เนิดของส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายของ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยา
สงิ่ มชี วี ิต และอนกุ รมวธิ าน รวมท้งั นำ�ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ของกรด-เบส ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซแ์ ละเซลลเ์ คมไี ฟฟา้ รวมทงั้ การน�ำ ความ
รู้ไปใชป้ ระโยชน์
๓. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายนำ้�ของพืช
การลำ�เลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธ์ุของพืชดอก ๓. เข้าใจหลักการทำ�ปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและ
และการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำ�ความรู้ การเปลี่ยนหน่วย การคำ�นวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของ
ไปใชป้ ระโยชน์ สารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจำ�วันและการแกป้ ัญหาทางเคมี
๔. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ รวมท้ังการหายใจและ
การแลกเปลยี่ นแกส๊ การล�ำ เลยี งสารและการหมนุ เวยี นเลอื ด ภมู คิ มุ้ กนั สาระฟสิ กิ ส์
ของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคล่ือนท่ี
การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเติบโต ฮอรโ์ มนกับการรกั ษาดลุ ยภาพ และ ๑. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนที่
พฤตกิ รรมของสตั ว์ รวมทัง้ นำ�ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ แนวตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล
แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนท่ีแนวโค้ง รวมทั้ง
นำ�ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

16

๒. เขา้ ใจการเคล่ือนทแ่ี บบฮาร์มอนิกสอ์ ยา่ งง่าย ธรรมชาตขิ องคลน่ื เสยี ง ๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการ
และการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของ
ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วข้องกบั แสง รวมท้ังนำ�ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำ�แหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและ
ปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ รวมทง้ั การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
๓. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุ
ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งาน
ไฟฟ้าและกำ�ลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�กับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า
การเหนี่ยวนำ�แม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ
คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และการสื่อสาร รวมทง้ั นำ�ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

๔. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปล่ียนอุณหภูมิและสถานะ
ของสสาร สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันใน
ของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืด
ของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส
ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอม
ของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์
ฟิสิกสอ์ นุภาค รวมท้งั นำ�ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

๑. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อ
สงิ่ มชี วี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม การศกึ ษาล�ำ ดบั ชน้ั หนิ ทรพั ยากรธรณี แผนท่ี
และการน�ำ ไปใชป้ ระโยชน์

๒. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก
การหมุนเวียนของน้ำ�ในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลง
ภมู อิ ากาศโลกและผลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทง้ั การพยากรณ์
อากาศ

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟิสกิ ส์

17

๔. ผลการเรยี นรแู้ ละสาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ

สาระฟสิ ิกส์
๑. เข้าใจความสมั พนั ธ์ของความร้อนกบั การเปล่ยี นอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยุ่นของวัสดุ และมอดุลสั ของยงั ความดนั ในของไหล แรงพยุง และ
หลกั ของอารค์ มิ ดี สี ความตงึ ผวิ และแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบรน์ ลู ลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ อดุ มคตแิ ละพลงั งานในระบบ
ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ทวภิ าวะของคลนื่ และอนภุ าค กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ กิ ส์
อนุภาค รวมทง้ั นำ�ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ

ม.๔ ๑. สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของ - ฟิสกิ สเ์ ป็นวิทยาศาสตรแ์ ขนงหน่ึงที่ศกึ ษาเกีย่ วกบั สสาร พลังงาน อนั ตรกิรยิ าระหว่างสสาร

หลักการและแนวคิดทางฟสิ กิ สท์ ีม่ ผี ลตอ่ การแสวงหาความรูใ้ หมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลยี กบั พลังงาน และแรงพนื้ ฐานในธรรมชาติ

- การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมูล
มาวิเคราะห์หรือจากการสร้างแบบจำ�ลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือกฎ
ความรู้เหล่าน้ีสามารถนำ�ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือทำ�นายส่ิงท่ีอาจจะเกิดข้ึน
ในอนาคต

- ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพ้ืนฐาน
ในการแสวงหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ก็มีส่วนในการค้นหาความร้ใู หม่ทางวิทยาศาสตรด์ ว้ ย

๒. วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำ�ความคลาดเคลื่อน - ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลองซึ่งเก่ียวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณ
ในการวัดมาพิจารณาในการนำ�เสนอผล รวมท้ังแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์ ทางฟสิ ิกส์ซ่ึงประกอบดว้ ยตัวเลขและหน่วยวดั
และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรง
- ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเคร่ืองมือ ต่าง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อมหน่วยที่ใช้
ในการวดั ปริมาณทางวทิ ยาศาสตรค์ ือระบบหนว่ ยระหว่างชาติ เรยี กยอ่ วา่ ระบบเอสไอ

- ปริมาณทางฟิสิกส์ท่ีมีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า ๑ มาก ๆ นิยมเขียนในรูปของสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้คำ�นำ�หน้าหน่วยของระบบเอสไอ การเขียนโดยใช้สัญกรณ์
วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นการเขยี นเพ่ือแสดงจำ�นวนเลขนัยสำ�คัญท่ถี ูกต้อง

- การทดลองทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการวัดปริมาณต่างๆ การบันทึกปริมาณที่ได้จากการวัด
ด้วยจำ�นวนเลขนัยสำ�คัญที่เหมาะสมและค่าความคลาดเคล่ือน การวิเคราะห์และการแปล
ความหมายจากกราฟ เชน่ การหาความชนั จากกราฟเสน้ ตรง จดุ ตดั แกน พนื้ ทใี่ ตก้ ราฟ เปน็ ตน้

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

18

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เตมิ

- การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคล่ือนเสมอขึ้นอยู่กับเคร่ืองมือ วิธีการวัด และ
ประสบการณข์ องผวู้ ดั ซง่ึ คา่ ความคลาดเคลอ่ื นสามารถแสดงในการรายงานผลทงั้ ในรปู แบบ
ตวั เลขและกราฟ

- การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับส่ิงท่ีต้องการวัด เช่นการวัดความยาวของ
วัตถทุ ตี่ อ้ งการความละเอยี ดสงู อาจใชเ้ วอร์เนียร์แคลลิเปิรส์ หรอื ไมโครมิเตอร์

- ฟสิ ิกส์อาศยั คณิตศาสตรเ์ ปน็ เคร่อื งมือในการศกึ ษาคน้ คว้า และการส่อื สาร

๓. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตำ�แหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของ - ปริมาณที่เก่ียวกับการเคล่ือนที่ ได้แก่ ตำ�แหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง
การเคล่ือนท่ีของวัตถุในแนวตรงท่ีมีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมท้ังทดลองหา
คา่ ความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก และคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยความเรว็ และความเรง่ มที ง้ั คา่ เvฉล=ยี่ แuละคaา่ tขณะหนงึ่ ซงึ่ คดิ ในชว่ งเวลาสนั้ ๆ ส�ำ หรบั ปรมิ าณ
ต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการเคลือ่ นทvแ่ี =นวuตรงดa้วtยความเร่งคงตัวมีความสมั พนั ธต์ ามสมการ

vvv22xxxxxx==v=======xxu=uuuu2=u=2ututtuuau2t222tu2a1212va12vavt2aaa12tvtxttxtt222a tt 2
- การอธิบายการเคล่ือนที่ขอvง2วั=ตถuุส2ามา2รaถเขxียนอยู่ในรูปกราฟตำ�แหน่งกับเวลา
กราฟความเร็วกับเวลาหรือกราฟควvา2มเ=ร่งuกับ2 เวล2าaควxามชันของเส้นกราฟตำ�แหน่งกับเวลา

เป็นความเร็ว ความชันของnเส้นกราฟความเร็วกับเวลาเป็นความเร่ง และพื้นท่ีใต้เส้นกราฟ

ความเร็วกับเวลาเป็นการกnระFจiัดในmกaรณีที่ผู้สังเกตมีความเร็ว ความเร็วของวัตถุท่ีสังเกต
ไดเ้ ปน็ ความเรว็ ท่เี ทยี บกับผiู้สn1ังFเกi ต ma
-เรง่กโานรม้ ตถก่วองยข่าองงเโสลรกีเป็นตัวiอi1ย1่าiFnง1หi Fนi่ึงmขอamงกaารเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติท่ีมีความเร่งเท่ากับความ

FFFGGGF===G GGG= mmGmRR1R11mmmm222R2122m2 2

กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

19

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ

๔. อธิบายแรงและผลของแรงลัพธ์ที่มีต่อการเคล่ือนที่ของวัตถุ รวมทั้งทดลองหาแรงลัพธ์ - แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงมีท้ังขนาดและทิศทาง กรณีท่ีมีแรงหลาย ๆ แรงกระทำ�ต่อวัตถุ
ของแรงสองแรงทที่ �ำ มมุ ตอ่ กนั
๕. เขยี นแผนภาพของแรงทกี่ ระท�ำ ตอ่ วัตถอุ สิ ระ ทดลองและอธบิ ายกฎการเคลื่อนท่ขี องนิวตนั สามารถหาแรงลvัพธ=์ท่ีกuระทaำ�tต่อวัตถุโดยใช้วิธีเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัว วิธีสร้าง
และการใชก้ ฎการเคลอ่ื นทข่ี องนวิ ตนั กบั สภาพการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ
ท่เี กย่ี วข้อง รูปสเี่ หลย่ี มดา้ นขนานของแรงและวธิ คี ำ�นวณ

๖. อธบิ ายกฎความโนม้ ถว่ งสากลและผลของสนามโนม้ ถว่ งทที่ �ำ ใหว้ ตั ถมุ นี �ำ้ หนกั รวมทง้ั ค�ำ นวณ - สมบัติของวัตถุทx่ีต้า=นการuเป2ลv่ียนสtภาพการเคล่ือนท่ี เรียกว่า ความเฉ่ือย มวลเป็นปริมาณ
ปรมิ าณต่างๆ ท่เี กีย่ วขอ้ ง
ท่ีบอกให้ทราบว่าวัตถุใดมีความเฉือ่ ยมากหรอื นอ้ ย

- การหาแรงลพั ธท์ กี่xระ=ทu�ำ ตtอ่ วตั 12ถvสุaาt=ม2าuรถเขaยี tนเปน็ แผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถอุ สิ ระได้
-กากรรเณคลีทอื่ ่ีไนมท่ม่ขีีแอ้รทงvภี่ห2านย=่งึ นขuออก2งนมิวาตก2ันรaะทxxำ� =วัตถุจuะ2ไมv่เปลtี่ยนสภาพการเคล่ือนที่ซ่ึงเป็นไปตามกฎ

- กรณีท่ีมีแรงภายนอกมากระทำ�โดยแรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะมีความเร่ง

โดยความเร่งมีทิศทางเดียวกับแรงxลัพ=ธu์ คtวาม1สัมaพtั2นธ์ระหว่างแรงลัพธ์ มวลและความเร่ง
เขียนแทนไดด้ ว้ ย 2

n

สมการ F i  m a ตามกvฎ2ก=ารเuค2ล่อื น2ทaี่ข้อทxส่ี องของนิวตนั
i1

- เมอ่ื วตั ถสุ องกอ้ นออกแรงกระท�ำ ตอ่ กนั แรงระหวา่ งวตั ถทุ ง้ั สองจะมขี นาดเทา่ กนั แตม่ ที ศิ ทาง

ตรงข้ามและกระทำ�ต่อวัตถุคนละก้อน เรียกว่า แรงคู่กิริยา-ปฏิกิริยา ซึ่งเป็นไปตามกฎ

กกนัารกเไ็คดล้ ื่อนFทG่ีข้อ=ทGี่สามmขR1อm2ง2นnิวตFันi และเกิดข้ึนได้ท้ังกรณีท่ีวัตถุท้ังสองสัมผัสกันหรือไม่สัมผัส

 ma

i1

- แรงดึงดูดระหว่างมวลเป็นแรงท่ีมวลสองก้อนดึงดูดซ่ึงกันและกันด้วยแรงขนาดเท่ากัน

แเขตยี ท่ นิศแททานงตไfดsรด้ งขว้ ยา้ มสsมแNกลาะรเ ป น็F ไGปต=ามGกฎmคR1วm2า2มโนม้ ถว่ งสากล

- รอบโลกมีสนามโน้มถ่วงทำ�ให้เกิดแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นแรงดึงดูดของโลกท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ

ทำ�ใหว้ ตั ถมุ fีนk ้ำ�หนกั k N

fs  sN

n

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ vx==uua2t vxt= u  v  t
วชิ าฟิสิกส์  2 

20 v = u  at v2vxxxx======uuu2uttuuat22212va12vv2axatx=tt2t=2uu2t212aatx2

ชั้น ผลการเรยี นรู้ x = u  v  t
๗. วิเคราะห์และอธิบายแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีท่ีวัตถุหยุดน่ิง  2 
และวตั ถเุ คลอ่ื นท่ี รวมทง้ั ทดลองหาสมั ประสทิ ธค์ิ วามเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั ของวตั ถคุ หู่ นง่ึ ๆ
และนำ�ความร้เู รื่องแรงเสยี ดทานไปใชใ้ นชีวติ ประจ�ำ วนั x = ut  1 at2 v2x==uu2t212aatx2
2
๘. อธิบายสมดุลกลของวัตถุ โมเมนต์และผลรวมของโมเมนต์ท่ีมีต่อการหมุน แรงคู่ควบและ
ผลของแรงคู่ควบที่มีต่อสมดุลของวัตถุ เขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทำ�ต่อวัตถุอิสระเมื่อวัตถุ v2 = u2  2ax  สาระiกn1nาFรเiรvีย2นm=รaู้เuพi2n่มิ 1เFต2iิมamxa
อยู่ในสมดุลกล และคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง รวมทั้งทดลองและอธิบายสมดุลของ
แรงสามแรง  Fi  ma
- แรงทเ่ี กดิ ขนึ้ ทผี่ วิ สมั ผสั ระหวา่ งวตั ถสุ iอ1งกอ้ นในทศิ ทางตรงขา้ มกบั ทศิ ทางการเคลอื่ นทหี่ รอื
 แขiนึ้นn1วกโFบั นiส้มัมทปจ่ี mระะaเสคิทล่ือธ์ิคนวทา่ขี มอเสงวียัตดถทุ าเรนยี แกลวFะ่าiแGแnร1รง=งFปเสiฏGียกิ ดิรmmทิยR1าาamน2ตF2้งั แGฉราง=กเรสGะยี หดmวทา่Rา1งmนผ2รวิ2ะสหมั วผ่าสั งคผู่นวิ ส้ันมั ๆผัสคู่หนึ่งๆ

ท- ่กี ขรณะทะ�ำอตอ่อกวแัตรถงนุ พ้นั ยแาลยะาแมรแงตเส่วียัตดถทุยาังนคFมงGคีอา่ย=มู่นา่ิงGกทแm่ีสรRดุ1งmเเ2มส2่ือียวดตั ทถาุเนริ่มมเีขคนลอ่ืานดทเที่ เ่ารกียับกแแรรงงเพสียยดาทยาานม

จนFลว้ี Gา่นแ์ =โรดงยเGสแยี รmดงRทเ1สmา2ยี น2ดสทถาติ นแทรีเ่ งกเดิสยรี ะดหทวาา่นงทผfก่ี FวิsรสGะัมท=ผ�ำ ัสตsGขNอ่ อวmงตั วRถ1ตั mขุ 2fถณs2ุคะหู่ กน�ำ ่งึ ลsงัๆNเคคลำ�อ่ื นนวทณ่ี เไรดยี จ้ กาวกา่ สแมรกงเาสรยี ดทาน
fs  sN

- fกsารเพม่ิ sหNรอื ลดแรงเสยี ดทานมผี ลตอ่ กfาkfรsเคลอ่ื kนsNNทข่ี องfวkตั ถุ ซง่ึ สkาNมารถน�ำ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั
fk  k N

 -ดfว้ สkยมคดวาุลมกkเลNรว็เปค็นงตสวั ภหารพอื ทหี่มวัตุนถดุร้วัยกคษวาาสมiภnเf1nราkว็Fพเiชกงิามรk0ุมเNคคลง่ืตอiวันn1ทF่ีใiห้คง0เดิมคือหยุดน่ิงหรือเคล่ือนที่
- วตั ถจุ ะสมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นทคี่ อื หยดุ นงิ่ หรFอื iเคลอ่ื 0นทดี่ ว้ ยความเรว็ คงตวั เมอื่ แรงลพั ธท์ ก่ี ระทำ�

ตอ่ วตั ถเุ ปน็ ศนู ย์ เขียนแทนไดด้ ้วยสมกiา1ร

n  nn n
MFi  0
 Fi  0 Mi  0
ii1n1
i1 i1

- วัตถุจะสมดุลต่อการหมุนคือไม่หมุนหรMือหi มุน0ด้วยความเร็วเชิงมุมคงตัวเมื่อผลรวมของ
โมเมนตท์ ่กี ระทำ�ต่อวัตถเุ ป็นศูนย์เขยี นiแ1ทนไดด้ ว้ ยสมการ

 n Mi  0 โดยโมเมนตค์ �ำ นวณไดM้จnากMสFมiกlาร0 M  F l

i1 i1

M  Fl

- เมื่อมีแรงคู่ควบกระทำ�ต่อวัตถุ แรงลัพธ์จะเท่ากับศูนย์ ทำ�ให้วัตถุสมดุลต่อการเล่ือนที่

แต่ไม่สมดุลต่อการหมนุ M  Fl

M  Fl

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

21

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เติม

- การเขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถอุ สิ ระ สามารถน�ำ มาใชใ้ นการพจิ ารณาแรงลพั ธ์
และผลรวมของโมเมนตท์ ก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถเุ มอ่ื วตั ถอุ ยใู่ นสมดลุ กล

๙. สังเกตและอธิบายสภาพการเคล่ือนท่ีของวัตถุ เม่ือแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุผ่านศูนย์กลางมวล - เมื่อออกแรงกระทำ�ต่อวัตถุที่วางบนพ้ืนท่ีไม่มีแรงเสียดทานในแนวระWดับ =ถ้าFแนวxแรcงoนsั้น
ของวัตถุ และผลของศนู ย์ถ่วงทมี่ ีต่อเสถยี รภาพของวัตถุ กระท�ำ ผา่ นศนู ย์กลางมวลของวัตถุ วัตถจุ ะเคลือ่ นที่แบบเลื่อนทโ่ี ดยไม่หWมุน= F  x cos

๑๐. วเิ คราะห์ และค�ำ นวณงานของแรงคงตวั จากสมการและพน้ื ทใ่ี ตก้ ราฟความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรง - วัตถุที่อWยู่ใน=สFนามxโนc้มoถs่วงสมำ่�เสมอ ศูนย์กลางมวลและศูนย์ถ่วงอยู่ท่ีตำ�แหน่งเดียวกัน
กับตำ�แหนง่ รวมทัง้ อธิบายและค�ำ นวณกำ�ลังเฉลยี่
กศ- บันู งาโยคนถ์ ไข่วซงอนขPงข์ อแavองรวงง=มตัทุมถ่ีกWุมรระะผีtหทลวำ�ต่าตอ่ ง่อเแสวรถัตงียถกรุหับภากาไาพดรW้จขกาอรกะง=ผวจตัลดั FถคตุูณามขxสอcมงoขกsนาราดของแWรงแล=ะFขPนaPvาaดxvW=ขc=อoWง=sWกtาtFรกระxจcัดos
๑๑. อธิบายและคำ�นวณพลังงานจลน์ พลังงานศักย์ พลังงานกล ทดลองหาความสัมพันธ์ ศ---ส -ต มกัพพพ�ำง W แยากPEลลล นห ์โาaงัังังk นvรทงงงน = ้มาาา=่ีท= ง่ น นนถ EE Eำ� โF ศเจ่ว ได1ปW2kpp ดงกลั ยs ็น้ใน ยtmค=แ= นคเ์xเ์ �ำรปปห vวนงm c1น2็า1น็2น2 ทวo มพพgึง่ ก่ีณmks สหลรhล xไา vนะงังัด ม2งท ง2่ว้จ าาายำ�าหนรนอเกถรวทขาสือใลเี่อจนมกหาเงกกย่ีปาวเาารงว็นัตรารยีขถแทน กอ้ ุทรPEE ำ�ไวงง ดี่กaงก ่าkpคv าำ�้จบั งกน ลา=== ตตำ�กัง วั�ลำเพ mคหแ1W 2ัง ื้นลเหร gฉt mอื่ทอืน ลh นไ่ีใ ง่vี่ยม ตหท 2่ค้กแดร่ี คงลรอืังตาำ�ะสรฟนวัพมปู กวรกลรไ็ะณา่างัดหงงรไ้ ขา วด นอ่า จ้ PEEงศง า แaว ักกkpv รตั ยส ง=ถ== ์ยมใ ุ นดืกแ mEEE 1W2แหาบ EEEรนkpยpg ง่tm sอนุ่วkp p h= =sกอPEEv =ค=aาก 2kpmv�ำร12เ12ปนmเ=1=2=12คgmน็วkลghmณxพkmv่ือ1W2hx2ลไv2นgดtm2งั 2ท้จhงv่ีกาานกั2บ
ระหว่างงานกับพลังงานจลน์ ความสัมพันธ์ระหว่างงานกับพลังงานศักย์โน้มถ่วง ความสัมพันธ์
ระหว่างขนาดของแรงท่ีใช้ดึงสปริงกับระยะที่สปริงยืดออกและความสัมพันธ์ระหว่างงานกับ
พลังงานศักย์ยืดหยุ่น รวมท้ังอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างงานของแรงลัพธ์และพลังงานจลน์
และคำ�นวณงานที่เกิดข้ึนจากแรงลพั ธ์

--แท- รพเ่ีแงปงEEราลสลงนังppปทยี่ งsแรนาีท่ =ลิงนไำ�Eะปกใเmรพห12ลตียเ้gลเกkกาปังhEมดิxว็นงา่ทงk2าผาฤนแลนษรมรโงEฎดวีคอมีบยpวนขงาทุราอมงักนงาสษขพนัม์อ-ลพพงังัแนงลารธงั นงง์กEEนาจันนp้ันลsโจไนดมลแ์Eย่ขนลงkึน้12์ะาเกขพนkับยี ขลxEเนังอส2pงแง้นาทแทนนราศงไงกั ลดกยัด้พาต์ ้วรธายเ์เคมทสลEสม่า่ือมกกpนsกับาทารพร่ี เ ลWEช 12 ัWงE น่ งkาแxEนEร2จงpEksโEลนkEนk้ม์ขkEถ12อEว่ pงงkpวแxัตล2ถะุ

W  Ek E Ek  EEp Ek  EWp out

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 1EEmk kv==2 1212mmvv2 2Pav = W
วิชาฟสิ กิ ส์ 2 t

22 Ek =

EEp p==mmgghh Ek = 1 mv2
2

Ep = mgh

1EEpkspxs21212kxkx2 2Ep = mgh
2
2Eps 2

ชั้น ผลการเรียนรู้ EEสารEะEkกkารEเEpรpียEนpsรเู้พิ่ม12เkตxมิ 2 2

หรอื หางานไดจ ากพ้ืนที่ใตกราฟ๑๒. อธบิ ายกฎการอนุรกั ษ์พลงั งานกล รวมทัง้ วเิ คราะห์ และคำ�นวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเก่ียWวข้อง= F ∆- xถ้าcงoานsทθ่เี กิดข้นึ กับEวัตถุเปE็นkงานEเนp่อื งจากแรงอนุรักษ์เท่าน้ัน พลังงานกลของวัตถุจะคงตัว
กบั การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถใุ นสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้กฎการอนรุ ักษพ์ ลงั งานกล ทรWะ่ีกหร=วะา•ทรทFงะ่กีําแงห∆อรารวะานงxาจทใทcงนเําปแที่oแอรsนาํ-ซเนาขงงก่ึไθแยีจเวใดฎปนรนเกกน็ใแปงานหแไทารปคนนอรนหรตงนไแเือาดวนทรตรุคWมรด้กัหกะ่ึงกวัีกลว้งษฎาหหยคพ์ร่ือกสรง=นวละรงนามาเงัราตทือกควงนWทอFงาายัวไลนํานรไแี่กมห∆รุเอดกื่อEรกวับัคลKารจนษงxลใตง+จชือพ์าใWทEาEตcว้าํนเลไกWเิPkป่กีoแงัคมวั เแพงร=รบักsนหาคาน้นืนียคθะ็ไตแนงกวา่หดกทEตําครลงก์กEวkงี่ใแัวงาโหตาkตรดาโคกหวัเรดรยคกง็ไทนกเอืลยดตรEคพ่ีอ่ืํางหแานัวลลลฟรงาัทหโ่ืองงั ต่งีดงEารเนา่านยฉkงือศนทแลๆกัไไก่ีมยร่ยีเEดชอ์ับงคน่pาจ ตจงกาเตาําปกรลแัวเพคย่ี กหลนืน้ อ่็ืไเนปดนทงน็ท่ีใพข่ี ตโอลดกงงั วงยราตั นแถาจทุฟรลต่ี งนดิ ์สปรงิ
๑โด๓ย.ใชอค้ธิบวาามยรกู้เารรอื่ ท1งำ�ง2าง.านนแอลปธะรสิบะมสาดิทยลุ ธกกิภลาฎพรกวแมาลทะร้งักอคาำ�รนนไดุรว้เณกั ปปรษียรพบะสเลชทิ ิงังธกงิภลาาขพนอแงกลเคะลรกื่อารงรกวไดลม้เอปทยร่าด•ยีั้งงบงงั ่างเสชยาิงบมนกากด•ลงทชางั ท่ีนสรถิดําม า ไกงดPาาaใ vนรนขก-ท=หาอก่ีเรงนาPกเงรW∆คaาึ่งทดิvลนหt�ำ อ่ืแขง=นนลาึ้นนทะด•ว สขภ่ีกW∆งัยมอาับงดยสtงเาเใลุววคมตกนลรตัส้ ลกอ่ื ทนEาปถงาากfรท่ี เุมรfเะลปiรโํากอcนอียนยไiม้ eบดา่PกEถงnงกaEว่ใงาfวcาvงา่นffรนyาขยifพc=หอiเ=ไจiิcกงนดeนาiโWแ้nWeลํารW∆่ืองึ่กณnกcลo่iงหtuyncคางัtจyปาน=เนารฉW=ว1ะWกรWลส0WยอWแทิo0iกย่ีunเoธtรi%วunพภิtงลน้าื E1พเาอ10kแยี00ลเง0ะร%ลก%ียม่ิากรสไวดกเ้รา ปู แรกลยี ะบาํ เลลชอ้ งิังกกเบัลฉขเพลอลง่ียเาคใรชอ่ื ห้ งลกกัล
12. อวธเิบคารยากะฎหก แาลรอะคนาํรุ นัก1วษ2ณพ. อปลธังริบงมาานยณกตลฎา กรงาวๆรมอทน้ัง่ี รุ ักษพ•ลังถงาาองนานนกุรลทกั ษเ่ี รกเวดิทมขอา ทยนึ้ า่ ้ังงก้นั งา่ับยพวปลัตร•ะังถสงุเทิ าถปธนาภินงากงพาลาคนขน�ำ นทอเวนเี่ งณก่อืวไิดดตังจ้ขจถา้ึนกาจุ สกะมแับกคารวงรง ตั E ัวถ f fุเ i ซป c iง่ึ นe n ง c า y น = เ น W ่ือ o u ง t จ า1 ก0 0 แ % ร ง การไดเ้ ปรยี บ
๑คว๔า.มสอมั ธวเสพพิบกเิถนัลาคย่ี ธายงั รร์วแนงะาขลาหพเสกะะกอวนถาลหคา่ ี่ยงกงรำา�งักแวนณลนแงรับขวงาลกตลณอกนะาพั าโงากรธคมงกรก์ณลเํามบัเบัๆนคนเตวกลวตลโาาัมาดณอ่ืงรขรยนเปวอๆคใมทพวสเงรชทกลวโเิ่ขีถมลัง้ักตคด่ยี่อือาอาถังฎรธวยนนุงณงบิาขกใแาทวกาะชลตอายนัตีข่าหกะครงากถรอกวอฎกงาณลาใุแงนมบักรนๆวลสดตรุากัตมัะลาักรทพาถจคงอษรนั่ีาุใํานธกเนๆนคร์สรุะมลวโหักกดณอ่ืวษาา่ ยนรงป แแใทรรชลงีข่ิมะกดโอเดพอลาฎปดื้กนนวณงกบัยนทยวรุ โตาี่ทใไัตมสกั ตรปาเพ่ีถโดเ•มษ้มกองปดตนใุรวลกเนนาตยนาทๆยังากฟมัุรมทไงสาร ฎ ักป ทกาน่พีมกษนตฎี่Eน้ัลกาาศกkงัารมพักเ-คงารช+อววการยงิัลตานกนอฎEถมEอังลรุุทเศนงกคาpรkกั่ีเว็า�ำัจคกุรา=+นขษนลักรเยอว่ือปโเอดพคกณองEษอปดนวนวลลาไนาตัpทพยนดยค่ยีรุถขี่จังจุรจ้ ท=ลไสุ ักะานงงอกั เปดกัมงีพ่ปาตมษคเษงังสMีโตงนปสัวลลกมวมาเ พามท.เกกนคตังั่ียานAมกมาลงารลนงนถพราก.าังน=ร ตตใจุ เล ลMนงฎpัชมE ปน้ััวะ FMังาpF ซศวก.นko=เคงนiึ่Aงunข.เิพัก=าเtาAพ+งคปmก.ียรยน=ลตm็.นรลลv=อนEองัจวปาFvsงัFsนงแาpรFoละoเงFiiunuิซาnมขจoรุทtาtหนi=unานึ่งียักtเนณนกปMคกนษจเไาsลวลาs.แดพลoรsกAisคu่ียnขoทtเiนลun.ตนงtอ=นอังตเงรงFไปFัว์วมาดoiีคuนnตันt ่าถพเกทุจลWล่าssะกงัoiinunับเคงtขผางยีลนตคนจวัูณแลรซทะนึ่งหน ว่ไางดม วลและ
15. ท1ทด5ี่เลก.อ่ียทงวดกอลบัธอิบกงายอรชแธิบนละาข1ยคอ5แําง.นลวทตัะวดคถณลใุําปนอนรหงวมิ ณนอาึง่ ธณปมบิ รติ าิมาิทยางง้ัแณแๆลตบะาบคงําก••เๆนคาวลรกใณือ่เนคฎนปกข•เกลกคทอราา่ือาลรมิรต่ีงใรน่อืเวชนาาอคทนตัณนงกนล่ีภถทกาตๆอ่ืรุ ุใารต่ีนั กัานนย-กก-กชเาขงษชาับาเทหแในงมรรอรเตพนๆดอื่่ภีวเนงกปงๆลลมลสลาึง่ลนัวาพัแีกตนยี่มยังเรตัธขาานชงงท์าใติมถลรอโก••เาก่ตีนมสมพัิคเแุรนงมาเเสคโธะมลมวลกรกนก์ทนนกใลาัต่อือื่ะเร�ำนารลมตคฎาอ่ืะต ถนกไรัม ทกอใ่ถม ลนมกIขเแุp าชทว�ำ าวคโออ่ืต ัตามทรล วนรี่ต=งง ถอ่ลรนด ีแวีข่ิเะชใุ ขวามอ คัตนื่mดีตัท รกอนงอ ถiเถน รถnวงIvต าภี่งุ1งก จุลวาๆIภ ุรทวรัวโ ะาFาันะง กัสลทด ัตาอขี่iย ขเหน้ัข �ำษยกชดีถ ออใใอ iกอๆ หนตnพนุท กงi1ง โ้tาnง เอสวมวั1โจี่ตล รFวร กเยลีัตซกนอFiามงัิดัตกง่ึากiนถงมกอากวสถรตาา่าุทมpกากปเแุรมัtนแกคโดนัจต่ีข=tรลรนกลรอลงาิดิงะอดmงลมะก่ือสาวลกจทvใตัถกนปโหาชถดวาํันทารเุรวยปงไดงิผดข่ีเลขคจ้ลดียี่ออาคนรกตณูงงไาพวปัวโขะน้ืลตัออโทหดงกถอใ่ีแยกตรุทแกก้งารดรจ่ีตงราลลาดิฟกพั กรบัสธะเกเ์ปวหทลนัวา่ราา่กงิงเบัแรอยรี งตักดรวลาา่
๑ยดื๕ห. ยทนุ่ ดทยใโลไมนมอดืเ่ีย่ งกเหดืหมอีย่หนยนธยวใโยิบึ่งุนนุ่ตนมกาดื แยัมเบัหิตไหลมแมกะนลิซยนกยะา่ึงึ่งุนาคตดืรเมรำ�ปัมดชหนิตไดี นมวนยซิตณยไวัขุน่ึงปปแืดเอยรปตแหกิมงนจาาวลยาณมตัไะกุนโใยทปตกกถกมน่านัดืี่เตฎแใุงากเหในหามนรลกๆ่ยีนหมหดยนะาทวน่งึกีดนุรนกี่ตเกงึ่มกอฎมตาึง่มั่ียับิตไตินรมัวกวมซิกิซกดแติรุางึ่ยับางึ่เีดักยรทิปกดืรเอตษกน็ปา้งัชหรไนวัจแนปชนยแาุรบนตไขนุ กาัยขปบมออษกกตกแงงนัฎจวาวลัตกามัตะถากรุกใถกนอกฎใุานหนัอโขโรุรนกมดกัอนหด่ึงาษยเมงุรีมดนโ์ิตวมกัอpตนิท่งึเัตเอโโษมั้งนมัวiตปมดแถนนโเแิตุรบมันยตเปุใมุรมกัยบมัิทนขโนเักpนษกมม้ังหอษโจแiตเนงมนมโเาบรมั ตปเมง่ึ นกะมขบมขโม--ดมันเดกตบนใว้มอาอใิตนยโยกนงนัมับนต งกมสิรร กเ าขเระpะมขมัม ตาเร มทบก ะมรอชiีย คีขมั�ำ าชบอ่ืบน นงรนเ=อนา คปกไรอโขโโบตกงคนมงัมแน็มดเะตอันนpขเรขมมัโงทpัมวยเมบของะุรตiมียเีคขนเอแงนปวมfบกับวตัวนpง=อา็นนรัตตัไวมัษหซบคกงตiแตดถงัตขถามัึงุ่รโเลถภงกอทpพัมดรปุใมขเุแะตงงัลชอนาปวขนอรลfนเงับชนัวยะงยนมะงหอนไรแบโาซนกบนดสะนชนงบมนไบาึ่งบกจรปดอมบรมนตเึง่เบลดะมยคีอปกวกตมัมนกีดืดา่บแนยนอ่มข์นาาตคติหนอลบัวสงรมตชายไิงชตเอุ่เนปะpกมรขัมกนนวัอมะซรiกตยีกฎคีขสบแือ่ง่ึแจะ่วบลานาpเ=อกาปไนะIอลทรมคกงแาน็ก าf ะกาํรกจ งไารทpม ัปนค ระตฎ ีแชนต ขงf บวัตp นาอกiร ไnวัเมซงบท1ปดงาหfวก่ีพึ่งน็ภFรรัตกดฎอืลเโiถกมอาปวไังุใมาเงยนยนมรนค่าหอนนนสงtชไนนตตจปอมนวัรุ่งึมัลกกัมกขกตนไ็ษิตอแดม์ขาาิโ์ง้อมลเกรมรามงเาะะกม่ือกรรบนะไชรฎบมบนตะห่มpกบมัทลีแทเพ่ีไางขัรfมลชํางยีร่คงันภนงงาาแตยนทัวนจเนปลอไ็นนกด์ ้



เปนโม•เมนในตกัมาขรอกชางนรรชกะนันบแบขบบอเหไปมงลย่วนดืงัตโหชมยถนนุ่เุ มพนลตังงมั าขนอจงลรนะบข อบงหรละงั บชบนอาจ

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วิชาฟิสิกส์

23

ชัน้ ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู สาระการเรยี นรู

∆y = uy + vy 
 2vy t
uy  ayt

ชั้น ผลการเรยี นรู้ ∆y= uyt + 1 สavาyyyรtะ2กuาyyรvเyรยีaนyyutรyเู้ พมิ่ aเyตt ิม
2

๑๖. อธบิ าย วิเคราะห์ และค�ำ นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ยี วข้องกับการเคลอ่ื นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ เค•สครวววียวนาากัตมมกวถสเาารทุัมร็ววเีเ่พคคคตั ันงลลถตธอ่ื่ือุนวัตนนน้ั าตททมมําี่ใี่เีกสนปแามหแน รกนนวเาคงวง รกลรคละือ่ วดมนาับหทมไรี่แเมรอื บม็วสบแี วแวรนลงงขกะกอลเรวงมะลวทางซํากง่ึ มจลมีงึ มแี มรี ง-จแกงึลากมระาคีเเรคปวเลา็นค่ือมลอนเ่ือิสรvทว็นรy2ไ่ีแะทมบต่ีแค่=่อบนงกโตวuพันวัโครy2ปสเ้งจรำ�พ+กมิหาไารรท2ณvับาลy2aโกตyy์บา่าวyลงรvvัต∆เาๆuถyyคyyyyyuภvyุมลy2มuาyyyีก่ือคีtยyuuานวใuu∆รต2า2ทyyuเuuuyyม้สป่ีใax12ttvyนสyyyyyนลuyyมัaaaแา่ีย222=yพนมyyyนy112a2ttt2vvvนัโวtuตu2นyyyดyธaaำ�tuvy้มต่์ิงxแtyyyyเถาtttหปtttม่22ว2น็นสงt12่งกvมใโากyนaดราแยyเรคtนไtม2ลว่ค่ือดิดน่ิงแแทลร่ีทงะ่ีมตแีแ้านรนวงขรโนอะ้มดงอับถา่วพกงรกา้อศรมะเปกทั็นนำ�
และทดลองการเคล่ือนทแ่ี บบโพรเจกไทล์

๑๗. ทดลองและอธิบายความสมั พันธร ะหวา ง ขสเแล•ชนรมพั งิ นงกาธเสสอดาท ศู นรกสกี่ ูนจขมั รยาอพะกกงทันวนลําธัตาก้ีกกงถาบั ับุรทวซรเัตํคาศัง่ึ ใแถลมหรใุื่อีขนเ งนกอสทดิทงูศิศกคแี่ ูนเาวบขยราาบกเมสควลเศูลงรากนอืู่งงสลนคยูศมาํกทนนูยลแ่ี ังวยาลสณงกะาลอเไมรดาัตายี งจ รรทกาาถว่ีมกเรา ี ็วมซสค-ซว่ควีง่่ึึงวแนามวัตมรากีแถงมเารุทรสรสง่งี่เูศ่เมัคลสคนู พัลพู่ศลยื่อนัูนอ่ืธ์กนธน์ยทลต์ท์กท่ีกFาาลี่เใ่ีงรปมนcาคะส็นแงำ�ททม=นวนำ�กง่ีมววกการีขณับรละmนไมดวาดFrัตบัหvด้จcถxไรสา2มือุใกัม=ม่นvvvสFสพแีyy22yท่2วมcyxxcxuันvรmนิศกงy2ธ=xyขrาเกtv์กขอรuuuรับ2uuuu้ างmะ yy22y2รvวuส Fyxxxทu rัศttttงvู่y2ศcy2�ำxกมy2ูจ2นtล222=ีขงึ ยมมอaaa12u์2กคuีงyyymเลay21a2กรวxrาาียาytvyyyyaงรมtก2เ2yเ2วyคเรt่ารaลว็2ียคื่อyวกงัตนตวถทyว่ัาุนี่แตั้นลแ�ำะมรแอีกงหัตสานู่รรศง่เาูนคเครยล็วว์กื่อเานลชมาิงทเเรงี่แสว็ บ้นทแบขำ�ลวอใะหงงเกว้เวกลัตลิมดถาุ
แรงสูศนู ยกลาง รศั มีของการเคลื่อนที่ อตั ราเร็ว ออธัติบราาเยรไ็วดเดชิงวเยสอนตั ตราามเรส็วมเกชาิงมรมุ ซ่งึ มคี วาแมลสะมั แพรนั งสธกู บัส- ัมนพอันกจธ์กากับนอี้กัตารราเเครล็วเ่ือชนิงทเสี่แ้นบFตบcาวมงFสกmcมลก=มxาย2รังmr ส ru vvา มx2 t= า ร ถω อ ธr ิบ า แยลไดะ้ดแ้วรยงสอู่ศัตูนรายเ์กรล็วเาชงิงมมีคุมวาซม่ึงสมัมีคพวันามธ์
เชงิ เสน อัตราเร็วเชงิ มุม และมวลของวตั ถุใน
การเคลอ่ื นท่แี บบวงกลมในระนาบระดบั
รวมทงั้ คาํ นวณปรมิ าณตาง ๆ ทเ่ี กี่ยวของ และ
ประยุกตใชความรกู ารเคล่อื นที่แบบวงกลมใน
การอธิบายการโคจรของดาวเทยี ม๑๗. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแรงสู่ศูนย์กลาง รัศมีของการเคล่ือนที่ อัตราเร็ว

เชิงเส้น อัตราเร็วเชิงมุม และมวลของวัตถุในการเคลื่อนท่ีแบบวงกลมในระนาบระดับ รวมทั้ง
ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และประยกุ ตใ์ ชค้ วามรกู้ ารเคลอ่ื นทแี่ บบวงกลมในการอธบิ าย
การโคจรของดาวเทยี ม

•สศมนู ดกยาากวรลเทางยี มมีคทว่ีโาคมจสรมั ในพแันนธวก วับงอกัตลรมารเอรว็บเโชลิงกมมมุ ีแตรางมดงึ ดดูω-คกแรัาบดงบอสากัตศู่ วารนู เราทยหเีรก์ยม็วลมุนเาFชทรงองิี่โcดมคบามุ =จตวตรัวเทาเใmอมนยี งสมแขมทนอกมี่ 2วxงาวีโวrรลงง โก กค FFFxAจลหcccFรมรsค=ือciรา้nAมอง=mm(ีอบฟmsFxัตiา้โrvmnรลctใ22น2าr(กvrrเรรม2Aะ็วmีtแนเs)รชาiงบิงnดม2ข(ึrุมง)อดเงทtเูดส่าทน้กี่โศับลนูอ)กยัตกส์รรตูาะเรรมท็วคีำ�เชาตบิง่อมกดุมาารขวโอคเงทจตรียำ�เมทแหเา่ ปกน็บัน่ง
ท่โี ลกกระทาํ ตอดาวเทียมเปนแรงสศู ูนยกลางบนพืน้ โลก ดาวเทียมจงึ อยตู่ รงกบัFตcำ�แหmนง่ ท2ีก่ rำ�หนดไว้บนพนื้ โลกตลอดเวลา
ดสูตาวรเมทคี ียามบทกมี่ าวีรงโคโคจจรvรเทคvาาxAกงFฟับccAAาคoใssาvนm(icบnoร(กtsะ2A(านrtราtหc)บoมขs)ุน()อรงtอเสบนต)ศวั นูเอยง

vy uy  ayt

กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ vyy uyuy  vy  t
วิชาฟสิ ิกส์ a2yt 

24
y uyuy  vy  t
a2yt 
vy 

yyuuy ty 2 12vyay tt2

yuuy ty 2 12vyay tt2

vy2yuuy2yt2a12yayyt 2

ชัน้ ผลการเรียนรู้ - vvyy22yxสารuuuuะyy22กyxttาร22เรaa12ยี yyaนyyyรtเู้2พิ่มเตมิ
ม.๕ -

ม.๖ - x uxt
- vFy2cx=uumy2xrtv22ayy

๒. เขา้ ใจการเคลอื่ นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ สอ์ ยา่ งงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลน่ื เสยี งและการไดย้ นิ ปรากฏการณท์ เ่ี กยี่ วขFFFอ้ cccxงก==บั muเmmสxrrtvvยี 222งr แสงและการเหน็ ปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั แสง รวมทงั้ นำ�ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ FFxccส=าAรmะmsกirvnา22ร(rเรtียนรู้เ)พม่ิ เติม
ม.๔ - - Fc  m2r

x Asin(t  )

ม.๕ ๑. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงและ -เดกิมาผร่าเนคตลำ�่ือแนหทน่ีแ่งบสบมฮดาุลรโด์มยอมนvFxีคิกcาอบยแA่าAลmงะงs่าแicnยอo2เ(มrปsพ(็นtลกิจtาูดรคเคง)ตล)ัว่ือนแทล่ีขะมอีกงวาัตรกถรุทะ่ีกจลัดับจไาปกกตลำ�แับหมนาซ่งส้ำ�มรอดยุล
ลูกตมุ้ อย่างงา่ ย รวมทั้งคำ�นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เก่ียวข้อง

ทเี่ วลาใด ๆ เปน็ ฟังก์ชนั แบบvไซน์ โAดยปcรoิมsา(ณตtา่ ง ๆ)ท่เี กี่ยวขอ้ งมคี วามสมั พนั ธ์ตามสมการ
vx Asin(A2tx2)

v A cos(t  )

v  A2  x2

va AAco2ss(int(t) )
va  2 xA2  x2
a A2 sin(t  )

v  A2  x2
 2A2msin(t 
a  )
T
k

a A2 sin(t  )

กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
วชิ าฟิสกิ ส์

25

a  2 x

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ

- การส่ันของวัตถุติดปลaายสปริง 2แxละการแกว่งขTองลูก2ตุ้มอยmk่างง่ายเป็นการเคล่ือนที่แบบ

ฮาร์มอนิกอย่างง่ายท่ีมีขนาดของความเร่งแปรผันตรงกับขนาดของการกระจัดจากตำ�แหน่ง

สมดลุ แตม่ ที ศิ ทางตรงขา้ ม โดยมคี าบการสน่ั ของวตั ถทุ ตี่ ดิ อยทู่ ปี่ ลายสปรงิ และคาบการแกวง่

ของลกู ตมุ้ ตามสมการ T  2  m และ T  2  l ตามลำ�ดับ
kg

๒. อธบิ ายความถี่ธรรมชาติของวัตถุและการเกดิ การส่นั พอ้ ง - เมื่อดึงวัตถุท่ีติดปลายสปริงออกจากตำ�แหน่งสมดุลแล้วปล่อยให้สั่น วัตถุจะส่ันด้วยความถี่

หัวขอ เเฉชพ่นกาะันตควั วกาามรถดีท่ งึ ีม่ลกูคี ตา่ เมุ้ ฉอพอTากะจตาัวก2นแ้ี นเรวยี ดgกlง่ิ วแ่าลว้คปวลามอ่ ถย่ีธใหรssแ้รiinnมกชวง่า12ตลิ กูเมตอ่ืมุ้vvกจ12ระะแตกุน้ วง่ใหดว้้วยตั คถวสุ าั่นมดถ้วเ่ี ยฉคพวาาะมตถวั ี่ 1 0

๓. อธิบายปรากฏการณ์คลื่น ชนิดของคล่ืน ส่วนประกอบของคลื่น การแผ่ของหน้าคล่ืน ทม่ี ผคี ลา่ เลทพั า่ กธบักคาวราเรมียถนธ่ี รรรู มชาตขิ องวตั ถุ จะท�ำ ใหว้ ตั ถสุ น่ั ดว้ ยแอมสพารละจิ กดู เาพรม่ิเรขียน้ึ นเรรยีู กวา่ การสน่ั พอ้ ง
ด้วยหลักการของฮอยเกนส์ และการรวมกันของคล่ืนตามหลักการซ้อนทับ พร้อมท้ังคำ�นวณ คลืน่ เป็นปรากฏการณ์กsาiรnถา่ ย1 โอนพv1ลังงาตจนาําจแมานขกกวทาSช่ีหงน1นPแดิ ่งึ -ลขไSปะอ2คองPคกีลลทื่นน่ืี่หตอนาnมอ่ึงยกาเปวนสองชนnดิ ไดแ ก คล่ืน
อตั ราเรว็ ความถ่ี และความยาวคลืน่ - ...
 0,1, 2, 3,

- คล่ืนท่ีถ่ายโอนพลังงานsโinดยต2้องอาvศ2•ัยตัวคกลล่นื าทง ่ีเเกรดิียจกาวก่าแคหลลื่นง กกํลาเนสิด่วนคลคน่ืลท่ืนี่สแงมค่เหลล่ืน็กอไยฟา ฟง ้า
ถา่ ยโอนพลงั งานโดยไมต่ อ้ งอาศยั ตวั กลาง นอตกอจเนากอื่ นงแย้ี ลงั จะ�ำมแีรนปู กแชบนบดิ ทข่ีซอํ้างกคันลน่ืบอรอรยกาเปยน็ไดสดอวงชยนกดิ าร
ไดแ้ ก่ คลน่ื ตามขวาง และคล่นื ตามยาว กระจดั สันคล่ืน ทองคลน่ื เฟส ความยาวคลืน่
-กาครลกน่ื รทะเี่ จกัดดิ จสาันกคแลหื่นลง่ ทก้อ�ำ เงSนค1ดิ ลPค่ืน-ลSนื่เฟ2ทPสสี่ ง่ คควลnาน่ื มอยอคยาตัวา่ วารงคมาตลเถอ่ รื่นี่Sเว็ คน1คาอื่คQบวงวnา-แาSแมลมอถ2ะถ0Qมี่มี่ค,แพรี 1าลปู ล,บะแ2ิจคบ,ดูแ3วบnอแา,ทม.มล.ซ่ีพ.ยะ�้ำ12ลาอกวิจตันั คูดรบลาแรเ่นื รรล็วยะมาอโยีดัตไยรดnาด้ เว้รย็ว1 , 2,3,...
โดยอตั ราเร็ว ความถ่ี และความยาวคล่นื มคคี ววาามมสสมัมั พพันนั ธธต ์ตาามมสสมมกกาารร v = f λ

- การแผข่ องหน้าคลืน่ เปน็ ไปตามหลกั ข•องฮกอายรเแกผนข สอ์ แงหละนถา า้คมลคี น่ื ลเน่ืปตนั้งไแปตต่สาอมงหขลบกั วขนอมงาฮพอบยกเกนั นส
nแตลามะ12ถหาลIมักีคกลา่นืรPAซตอ้ังแนตทnสับอง1ข,บ2ว,น3ม,.า.พ. บกันจะรวมกัน
จะรวมกนั ตามหลกั การซอ้Sน1Qทับ-S2Q 


๔. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเล้ียวเบนของคล่ืนผิวก4นน.าาํ้ ร้ำ�ส รแ งั วทเมกรตทกแ้ังสคล แ--ไอ ดาํะ ลคคด นด้อ ว้ลล ว้วธเ แ่ืน่นื ปยณิบ ลม เลส กาะป ีสยี่มย ิดก รมนก กกาิม บาท ราา ารตัร เริศณ ลสสกิ ท ยี้ ตะ ะาา วรทท าง เสง เ้ออบ คะ นนๆน ลท เ ข่อืม้อ กท อน อ่นืาIีเ่ งกท รค คกห่ีย ลกี่ ลา วัก่นืลมร่นืP1Aขเบัเหมุหคผ0อมักสลิวงlาเะoอ่ื หใทgนนอ้กทต••นาัว่ไี รปกI=แIถล0ทโขสคคเมงึาปดรวอสลลงมุ ลยกาเ่งิด่นืน่ื ตดี่ยเงกสเมปกิมหแนกดีอสีนกรลิดขดทโfมรไือะดวกnิศปะแบรากยาททลตองตัารเา1หะบปายรสกิ งnมก0รเ็นตะาเลือากครทอไl4้ียรoรปสฎลvรอเวLอgะตละือ่กนเยทาห้ยีบานเตมรวมอวนทอ่สกเาI่ือนี่กบIระฎง0คละนตทกกลบัหัวาอาืน่ วมกรรนเา่หสาลคงใะเกัาลตนขnงทเ่อืวัยีหตท้อกนนัว่ีตนลกทก1แาาา,ี่ลไทเงงร3ปขกาทนแ,ยีถงนั 5่ตีไทนเึงดแด,่าสรแ.ลดงิม.กง่ิทก.วว กนันยีด
รวมท้งั คำ�นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง

สมการd sin   n n  0,1, 2,3,...

• การแผของหนาคลืน่ เปปนนไไปปตตาามมหหลลักักขขอองงฮฮออยยเเกกนนสส 
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ แหลละักaถกาามรีคซลอืน่น2ตทxงั้ับแตส องขบบววนนมมาาพพบบกกันันจจะะรรววมมกกนั นั ตตาามม
วิชาฟสิ ิกส์

26 ๔. สงั เกตและอธบิ ายการสะทอน การหักเห • คล่นื มสี มบัตกิ ารสะaทออนนกกาา2รรxหหกั ักเเหหกกาารรแแททรรกกสสออดด
ผลการเรียนรู้ กนาํา้ รรแวทมรทกง้ั สคอําดนวแณละปกรามิ ราเณลีย้ ตวาเงบๆนขทอเี่ งกค่ียลว-เ-ืน่ปขคคลผอลลย่ีิวงน่ื่นื นเเไกกปดิิดซกกง่ึ •รต•ซทแข•มาาเรปะรลวs่งึาาsิศแหiเหคคคน็มiาพะทTTปnทnssักงลลลไวกกบาiปiรนหθเθnnา่น่ืืน่ืนTTฎาasหงsกกตไรง12ร1i2เเเเiกสเปันnnาตคือกกกมเ2ม2อามล=แต12ัวรดดิิดิล่อืมุรดก้ีย22ลกอาคือ่กกกสสเ12vฎvวมวมลยลนาาาะ1ะ2ก12เรกอ่ื่นืาตรรรบทvทgmทv2าlkวคงหสแฎเอร1x2น่ีกคออทมลทvะgmvหักรกlkลลนนน่สกืี่ต1ท2ะกรัเา่อืับหสนัาาหกเรอเ=นหอมงรเขหตสนวTTมทsกงsะาียเาาอักมเiคขื่่iผอีนัใกnมมnงนมมดเมุนนลดยีม่าคนหตแคาื่อหหตแแเื่อหน่นตืนแเตตลตมลวัร2ล2คมลวัลทคเรกแลทเ12ัวกนื่กเเควัวื่อ่นืกขลวอ่ือักทขนรลกักกนกลอลกเคียอลย่ืนเคกียีนยค่ืนรไลกอ่คืรไัตาลลตนัตาดเาละนนไลดเาานะงลคราดvง่อgmื่นvครlดรแkท่นืงรท่ือดแทรทงาทื่อลด้12รซาสลเทวซบสนเทูเ้วเ่ตีม่ีะดบวน้ือ่เต่ีอดพรยอือ่อนรยอหยาทานมินทา็วนิมสงน็วพนิ่มสไงสงวี่ผไงคคทผี่ดมทคกคทม่าโดบมทกเาโลลดาดี่ไงตกลนับัลกดด่ีกไกนันบัปตน่ืนน่ืยปวาา่ืนมิืน่นแัยวารแัวถรโเรยรเเถโลเรแยเเปอปกดคลงึปอปดคสึงลวสลยยลสลนวยยลมสลนว้เมาตกเื่่ิง่ียอปไตรกื่ิง่่ยีอกปงไปกกอรนนวปกทลอรนนาลดีณมาไทดี่ตณีี่ยรไท่ียรปกTaป่าทีี่นทีน่ีนัง่ีกต่ี ันา2มแหล้ลว2อกั xัตกmkราารเซรอ้ ็วนคทลบ่ันื
ชั้น

โดยกรณที ่ี S 11 แ Sแล1ลPะะ- S S 22 2 P เเปปนน็ แแnหหลลง่ งกก�ำ ําเนเเนดินคดิ ดิ ลคคน่ื ลnลทื่นนื่ม่ีทคที 0่ีมว่ีม,าีค1คีมว,วถ2าเา่ี ทม,ม3า่ถถ,ก่ีเ.่ีเนัท.ท.แาา ลกกะันนัเฟสตรงกนั ปรมิ าณตา่ ง ๆ
อ๕ทร๖กวังบา..มศงอคอเทาธลสธเบิงั้ ซ่ืยีนิบคาลงคา�ำยเยวรนซกวคาวายี มมวณรสดทาเกปมันส้งั ดิรคเมขมิเคำ�บส้มานวยีัตณเาวงสิขมณตีอยกส่าปงงาัมงครรพรเลๆมิ คะันื่นาลดทณธเอ่ืับสี่เ์รกตนยีเะย่ีส่าทงหวงียขี่ วไขงๆดอ่าอ้ หแ้งงอทงเอัวกงสเ่ี ัตข่คกยี กร์ี่ยอปงาาวรรคเขะรสว้อ็วกะาขงมทออสบ้องมันขเพสอ6ปรอค5แคอกอแียนังะ..ทณุนวลารลงกงธห๕ราออิมคนื่ภุระใหาร์หมวนธธกาป.เมาระภสาสักิบบิณสอคไอรลหงียมูดัมเาาอาะกพตธหวองิใยย้ยพกดกับา่บิานัติษคกินากงไอนังครหาทกดศคาวาบธลายๆคานรแาาทลรรผเขืน่รกเงมแุรณกนื่ว่ีขะกทอลเเค็วาทยเหกลส้ึนิดภขงล่ีกเขรวอรากยี้ียวกกเมาาัพาเอกรสง่ียาวงกาับพรมเศกงสธียงสเวรสดิอดเรบเรคาอกงไขสยีสะวุเณะนัเดนดลาองยีสซียทมกจยร่ืนหงงลียงากทดัอรรเนิคใกภรเรงะวาขน้งันแซวาเยีูรมมดคอคคอลกียารเนกิใทบัาํงุณลลมาะกสนอานรัง้เ้ยีกม่ือรสรภสรหนูควสวาะนเลัมหียานณภุําคเศมจพพทบพงกัน่วาลทบดัปขี่ิษนันเเคยว่ือขหขีัตสรอณธ อ้ึนียิมิขง กงงอากเทสาณงับี่ขรยี องดผ-เ-ท-อแ-ข-งรกเบาา้อาเ่เ่เีคยีสคสสกนกน�ำงบ••••กลยีลียลีย่ียหาหอ่เนืงว่ืนงังวศสงนนเลา่เเมปขนสรกงัา้ภุคเขตเกอคอโแแแขไคบสีนอ้็ิมยีไสส่ิงคอดิดา�ำอหทลวัาํตนํลาลดมพังงคเตยีียลนกคนลานกงะเอร่ืนม ุ้ภรลบลลปข•คแ•แ•ตกงง ื่นงาพตหังวิากดวกดSคีงเน่ืามเัตอแนรวลท็นัวลเกSทเณวัปณกลนาสจคเว1สกร1ีสิกเเดลาคคาอวกะิดอP1รแรร1าํลงันาาอสาdd็วตลไIียไSQมางมเตวลfัลลลเเงกงกเดดมกคล้ยีด-เดวคแียงลวัรฟแnนมกบ1ราาสสาSssืน่นื่dาส้จIสวคลเล-วเจลSSสแกQลงยี้fาลนิดงลคีiiวปสียตัSรมัเา2ัมาnnอเ่นืเนะลเาnเ2กะบล11ืน่ทวบsมวลรจเเกลกPPงปก1ติกAน-QP2กคพ่พืนทา2ลสดทเางิ่iบกเ�ำยีใมSนาเQnื่นาnดิสดิบา0รรอลนรสงเรีย้ีย-้อ=อในันัแรP1ลกAกห-สรถคีเกม=ีแย2งน่ตSหกทืตันยีมlคงวงSนเมอ4าnบธธแกสQว0oาา่ักกกกผลริดตกาาํอร้กvาํกเ2พ่อลื์ตายาตn2ลารLกะบบลgียนัวากlจาPาใรแื่นจ4วนลากQonnโคารัน่ืะนทะλหาํามร่าvากนาเกหาอา่ปรหามภุแมาสLกลgลลค มธงกปยอรกคอานnกเวn ฏศกัnปเผานส่ัน่นืตา ม์งัสหย้ีลารสvรลนขวนรพาIคคขลบิมฏเร−จวขIลงเถ่ืออ่ื−ียนวากัอมnิมสแุภ0nคลข้ึ=นลเากทิบัพาอกมปอาเคกเงเIตรบียกลาง1าัก2ลIอเบหงกื่น1กา2ยขงัาพดเ่ีมd0nIวยีลฏง3มาSSงณคสดิาf่อะืขตงรแแัรบโนาขบอาเมตนน่ื3ีกnก่ือตรบิ1จ1ข่ิงอคน้มวsลนลหบ12แหคคตลออQPาเλว1ยตอกอาเาาราวเัλอiลนาเพัละทมเลอคกัnลัพวลมณุพาอนบกรnสารูสเหกีดพา-+บ12nงราP1ตAพ-nะnม่นื่พีา่ือเดลงงแวSกน่ืย่ืแยีอดีแงลตนัสขหSนแหnแนัสnมําต0ก่ือnแล0่อืทเคต=บเางงทาทค2ต=เวัวๆ่ิnงร่ึงธเแทภว2ลเำ�ๆิ่าํงเรจธ.งัวนลเlPกรงล4ากสกามหขกยี6Qค0ลรoารสแหถลม0กเงามูะ1รสสvกล0มทดิะง่งิานทนื่ลมกมกLีดกือ่�ำ,กเนาาื่นทห่gอ,,Tานีดกอื่ตขิน่ัไก0สอ,มรา10ตnจย1พ่ีนยาิดน3สเnแเวเี่1สยข1ปวนCงเี่เงอสขแีดําอ,ส,คกง,ือ่า,งโเาําา,,คหเอกว,อบยเ1ขเทาวอด12่องรแ2สงทขดสnขยีวอกส53nีย่ลรแว2ณตัล,ดnพล่ยีวทาส,บอดนียี่บาม,I,หยีาแงนั่วบ,ยี,กรดียว,I2่อืหง่ร2ง3กnว3อ่ืน่ิง่มี.0ื้5ไน=า0nเพกกีางแวัพงกล3งกา=นเขก.แวา,นดกไก,น,ั,ขนีกง,ผนห,.กไทจนาร,วะบ�ลสำ3ปเ1.3.นnอ1วบ.ง้จีดปดิแท1ร.าอารเแงา.ถาิดงกล.าัท่ีอ,แ,.,บท,น.าดาง1.ว็แ,ศลรบทงจนก.ด.1ลง่ีาพ2.าังจ2ด12ทกี่พด.ม2ิเาแ1.เ่ีาบม้วท,มยาร้ว.เ่ีสาบม,.ส,านบสเ,นมรที1ส2บnเกีก3ัพเสนร3ียีกีก3ลพัรnจมก,กสีครร,หยี,กากส,งหมิา,ย้ีกา2กิด3.กส่งิ.ลมิงใร.ลากส่งิ.รวนลา,าก.,ตส่นือ.กรก0ก.งัเอ3.รn1รอังดีอำ�บ�แำ.ดาไ,ดี ,,ด.ไแลา1 ดดรผน3T.ดIssSSกง,ั.สหแ่จ,i.เi2าน1่1nั0n5สบนาQPศ,ขย,ี,กบ่ง3n1ข.-องPขAท2-.หS,,ตน้ึ.12งSอ่.ีม2ักแอ่2.ก2บี.ก,หลPห1บัQ3สา้าลน,อ,ร่งิงงv2g่vง่lึ.ณุกตแกห.12,.ีด�ลำท3หนnเขอรน,ว่ภ.วดกnยดิมู.า.พเสเขิวสงนอ้ื ลไอยี ปทด12างง ี่


  n  0,1, 2,3,...
 n  1, 2,3,...

ตา ง ๆ ที่เกีย่ วของ ครเหขะําามดนไเดบัวสจณเียสาdงไกียกดลงsddบัจ เiอปnาคssกกนวiiาnnสาปรมมริทกเิมมึขาาขมรณnอเnสทงInยีอบ่ี =งัต12ออddรPกAา1างคssสอiiววnnงิานทมร่ีมดะnนงัหขุษวnอยาnงnง0เเรคส,nิม่1วีย,ไ0า12งด2ม,1ย0,โ3ด,นิ,12,ย.,,.23.n,,.3.,...0.f,n1n,210,n30,1,l.,o.v2.g,  I 
3, I0

...

n 1,3,5,...

sin 1  v1 k
sin 2 v2
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
T  2 l วิชาฟิสกิ ส์

S1P-S2P  n g n  0,1, 2,3,... 27

S1Q-S2 sin 1  v1  n  1, 2,3,...
Qsin 2n  v122

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม

- ระดับเสียงIเป็นปPAริมาSณ1ทP่ีบ-Sอ2กPความnดังของเสียง n  0,1, 2,3,...

โดยหาได้จากลอการิทึมของอัตราส่วน

ระหว่างความเขม้ เสยี งกับความเข้มเสยี งอ้างอิงท่มี นุษยเ์ ร่มิ ได้ยนิ

ตามสมการ   10loSg1Q -IIS02Q  n  1   n  1, 2,3,...
 2 

- ระดับสูงตำ่�ของเสียงข้ึนกับความถ่ีของเสียง เสียงที่ได้ยินมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน

เ-นเส่ือยีงจงทากม่ี มรี ะีคดุณfบั ภnเาสพยี งเnสสยีงู4มvงILแาตกหกPตรอื่างเสกยี ันงบาnงปร1ะ,เ3ภ,ท5ท,.มี่ ..ผี ลตอ่ สภาพจติ ใจของผฟู้ งั จดั เปน็ มลพษิ
A
ทางเสยี ง

d sin   n n  0,1, 2,3,...
-ในถท้า่ออนา้ันกาจศะใdเนกทsิดi่อnกถาูกรสก่ันระพnต้อุ้นง1ขด0อ้วlยงoเคgสลีย่ืนง เIโสnI0ดียยงคท0ว่ีม,า1ีคม,ว2ถา,ี่ใมน3ถ,ก.่ีเา.ท.ร่าเกกิัดบกคาวราสม่ันถพ่ีธร้อรงมขชองาทติ่อขปองลอาายกเปาศิด
๗. ทดลองและอธบิ ายการเกดิ การสนั่ พอ้ งของอากาศในทอ่ ปลายเปดิ หนงึ่ ดา้ น รวมทง้ั สงั เกตและ
อธิบายการเกิดบีต คล่ืนน่ิง ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร์ คลื่นกระแทกของเสียง คำ�นวณปริมาณ หน่ึงด้านคำ�นวณไดจ้ ากสมการ
ต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง และน�ำ ความรู้เร่อื งเสียงไปใช้ในชีวิตประจ�ำ วนั

d sin  f n nn14vL เมื่อ n  1,3,5,...

n  0,1, 2,3,...
- ถ้าเสียงจากแหล่งกำ�เนิดเสีย2งสองแหล่งท่ีมีความถี่ต่างกันไม่มากมาพบกันจะเกิดบีต

ทำ�ใหไ้ ด้ยนิ เสยี งดังค่อยdเปsน็ inจงั หวะ n n  0,1, 2,3,...

- คลนื่ เสียงสองขบวนทมี่ คี วามถ่เี ทา่ กัน มาแทรกสอดกัน จะทำ�ใหเ้ กดิ คลื่นนิ่ง

- เมอ่ื แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งเdคลsอื่inนทโ่ี ดยnผฟู้งั อยนู่ งิ่ ผฟู้ nงั เคล0อ่ื ,น1ท, 2โี่ ด,ย3แ,.ห..ลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งอยนู่ ง่ิ หรอื

ท้งั แหลง่ กำ�เนิดและผ้ฟู งั เคลือ่ นทีเ่ ข้าหรือออกจากกัน ผู้ฟงั จะได้ยินเสียงทม่ี คี วามถี่เปลี่ยนไป

-เรยีถก้าวแา่ หปลร่งากกำ�ฏเนกิดารเสณีย์ดงdอเคปsลเinพื่อลนอทร่ีด์ ้วยnอัตร12าเร็วมากกว่าอnัตรา0เ,ร1็ว,เ2ส,ีย3ง,ใ..น.ตัวกลางเดียวกัน

จะเกดิ คลนื่ กระแทก ท�ำ ใหเ้ สยี งตามแนวหนา้ คลนื่ กระแทกมพี ลงั งานสงู มากมผี ลท�ำ ใหผ้ สู้ งั เกต
ในบรเิ วณใกลเ้ คยี งไดย้ นิ เสยี งดังมาก

- ความรเู้ รอื่ งเสยี งน�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การปรบั เทยี บเสยี งเครอ่ื งดนตรี อธบิ าย
หลักการทำ�งานของเครอื่ งดนตรี การเปล่งเสยี งของมนุษย์ การประมง การแพทย์ ธรณวี ทิ ยา
อตุ สาหกรรม เป็นต้น

กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ S1PS-S1SP12P-PS-S2P2Pnnn n n0n,10, 02,1,,,132,,2,..3,.3,.,.....
วชิ าฟิสิกส์ S1QSS-1SQ1Q2-QS-S2Q2Q nn1n21212 n n1n, 21,,132,,2,..3,.3,.,.....

28

ชัน้ ผลการเรียนรู้ I IIPAPAPA
 101lo10g0lolสogาIgIร0ะIกI0IIา0รเรียนร้เู พิ่มเติม

๘. ทดลองและอธบิ ายสมบตั กิ ารแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่และเกรตตงิ สมบตั ิการเลีย้ วเบน แ- ลเมะ่ือกแาสรแงผท่ารนกชส่อองดfเnลท็กfำ�ยnfใาnnหว้เ4เกดnvิดLี่ยnแ4วvถ4Lv(บสLมลืิดตเแดลี่ยะวแn)ถแบลnส1ะnว,ช3่า่อ1,งง5,1บเ3,,ลน3.,็ก.5ฉ,.ย5,า.าก,..ว..คโ.ดู่ (ยสปลริติมคาู่)ณจตะเ่ากงิดๆกาทรี่เเกล่ียี้ยววขเบ้อนง
และการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตเด่ียว รวมทงั้ ค�ำ นวณปรมิ าณต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง
มคี วามสัมพันธต์ ามสมการ แถบมดื สำ�หรบั สลิตเดี่ยว
๙. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและ
ค�ำ นวณต�ำ แหนง่ และขนาดภาพของวตั ถเุ มอ่ื แสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม d sdindsisninnnn เมnื่อn0n,10, 02,1,,,132,,2,..3,.3,.,.....
รวมทงั้ อธบิ ายการน�ำ ความรเู้ รอื่ งการสะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม
ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจ�ำ วัน แถบสว่าง ส�ำ หรับสลิตคู่

d sdindsisninnnn เม่อื n n0n,10, 02,1,,,132,,2,..3,.3,.,.....

แถบมดื สำ�หรบั สลิตคู่

d sdindsisninnn1n21212เมอ่ื n n0n,10, 02,1,,,132,,2,..3,.3,.,.....

- เกรตติง เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยช่องเล็กยาวที่มีจำ�นวนช่องต่อหนึ่งหน่วยความยาว
เป็นจำ�นวนมาก และระยะห่างระหว่างช่องมีค่าน้อยโดยแต่ละช่องห่างเท่า ๆ กัน ใช้สำ�หรับ
ห า ค ว า ม ย า ว ค ลื่ น ข อ ง แ ส ง แ ล ะ ศึ ก ษ า ส ม บั ติ ก า ร เ ลี้ ย ว เ บ น แ ล ะ ก า ร แ ท ร ก ส อ ด ข อ ง แ ส ง
โดยปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งมคี วามสมั พันธ์ตามสมการ

d sin   n เม่อื n  0,1,2,...

d sin   n n  0,1,2,...
- เม่อื แสงตกกระทบผsิวd' วsัตiถnุ sจะเกดิ nกdารsสinะท้อนnซnึ่งเป0็น,ไ1ป,2ต,า.ม..nกฎก0าร,1ส,ะ2ท,.้อ..น
- วตั ถทุ อี่ ยหู่ นา้ กระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม จะเกดิ ภาพทสี่ ามารถหาต�ำ แหนง่ ขนาด

กแรลณะชกี นระิดจขกอเงงภาราาพบที่เ1fกsิด'ข้ึน1sไsด้จs1า' กกsาs'ร'เขียsนsภาพของรังสีแสงหรือการคำ�นวณจากสมการ
1 11
กรณี กระจกเงาทรงกลม f s 1s'
  s'
1  y1'  1 1 1
Mf ys s'
f s

M  y'

n1Msin1yy' n2Msin2yy'y

sn' 1sinn21  n1 sin 1  n2 sin 2
nn21ssiinn21  n2 sin 2

กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ ิกส์

29

d sin   n n  0,1,2,...

d sindsinn n n  0n,1,2,0..,1. ,2,...

s'  s

s'dsinss' sn n  0,1,2,...

1 d1sin1  n n  0,1,2,...

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สf1าsร'ะกs11fารsเsร1'1sยี นรs1ู้เพ' ่ิมเตมิ
f ss'  ss'
ร-สะัมเหมพื่อวนั ่าแธงสน์ไงซีว้ เนา่คก์ขลฎอ่ือขงนมอทุมง่ีผสต่าเกนนกลผรลิวะ์รทเขอบียยกนตMMับ่อแไทข1fซอนนง1ไf์ขMดตyyyอy1้ดัวs'ง'กว้ มย1ลsุมสาs1หyมงy'สัก'กs1อเาห'งรขตอัวกงตลัวากงจละางเกคิดู่หกนาึ่งรมหีคัก่าเคหงตโดัวยเอรียัตกราคสว่วานม
๑๐. ทดลองและอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างดรรชนหี ักเห มมุ ตกกระทบ และมุมหกั เห รวมท้ัง
อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความลกึ จรงิ และความลกึ ปรากฏ มมุ วกิ ฤตและการสะทอ้ นกลบั หมด
ของแสง และค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง

-ไปกจาารกหเกัดเมิ หขซองึ่ คงแำ�นสงวทณำ�ปใหรมิ้มาอณงเตหnา่sn็น1ง1'ภMsๆsาiinพnMทnnขี่เ1ก2อ11s่ยีงyyiววn'ขัตynyn้อถ2'2ง1ุทsไs่อีดiinยnจ้ n่ใู าน2ก2ต2sสวัiมnกกลาาร2งต่างชนดิ กนั มีตำ�แหน่งเปล่ยี น
---ก-ททห-- าเเมกคาา้อมกมรไงางวมุ อ่ดืฎอื่ทจฟราตวจ้แาสกรม้ากากาสงะารเงกกกปตงทู้เรวรรตกลวั็นสตัอ้ ะือ่ กาดกสะถนทงรกลตีทหุเแกเบราลข่าน้ลอละงทนงียะา้ับทนท่ีทสนเมๆหมี่แบลำ�น์ภริ ีดมนลอใใ�ำาานหรดสะนไจพร้มชปบ์เกภุ กขช่วุมปาาาิดอนงงหรครเขงจีหหะวกัหระน้ึ กัยลัเกรังเหเเุกาสกอืเมหมตหตด1ีแิโsfsอื่1มsfม่าคี์ใสขภnม'sชงา1เ่าsfงาอ1ลกมุกใ้'sพqqMFE๙งssกหนqnMFEันไตsi11sf11sแiiปข21ลุ1๐nn11sรดssnก1q2nMFnsnf'2สอือขตs1iา้1ก11s'12อnnnงiงคอน2ัวsnรqMFckงว12ใckก1งsำ�1siตะqMFE1ศ1k1ssต1ชัnnynอkนล'yi2ท1cryา่11qsy'าถn้rnอnqs11า22'า1วqงkบ21'qyุ1กy'2n21ธเnงrณโn1nnrcรๆ11มดทิ'qาบ11q2s122q2ck12ยีk2n2ไnาศryยs11'yมี่2เา1kดn2กsกqy1ช2ต2y'2'qrีดยqแiจ้2วกn2่นnn'�rำq1ร12ปสา1า่snแวnqr12122รก1งแiรq่า12หม22n2ชจสาวม22นุมนะม่นกมุ kวง่เหีkกฏขกว2ิกขกัาkิกยดิกฤนรเาฤกาหตายkต4ารน4ดซkรณπกแอ้1πก4ง่ึ1ลε์ลทยเรεπก1อ้ะ0ะี่4เ0คεดิงกชเ4πจ�ำจ0ข1ี่นยπนงิุลε1น้ึ ดวิ εวทใ0ใกขชณน0รัอบอ้ รกไงแธศดรภบิสนณ้จาางา์พทีเยกปทแี่เกสชน็ เ่ีสามก่นตรงกดิ เเน้ หดาขรรนินน้็ึ ุ้ง
๑๑. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพ่ือแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์บาง หาตำ�แหน่ง ขนาด ชนิด
ของภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมท้ังคำ�นวณ
ปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง และอธิบายการนำ�ความรู้เรือ่ งการหกั เหของแสงผา่ นเลนส์บางไปใช้
ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำ�วนั

๑๒. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเก่ียวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการเห็น
ท้องฟา้ เปน็ สีตา่ ง ๆ ในชว่ งเวลาต่างกัน

q2E qk2 q1 q1
E EF12 r2 r2
k

กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
วิชาฟสิ กิ ส์

30

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม

๑๓. สังเกตและอธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สขี องวตั ถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมท้ัง - การมองเห็นสีจะขึ้นกับแสงสีที่ตกกระทบกับวัตถุและสารสีบนวัตถุโดยสารสีจะดูดกลืน
อธิบายสาเหตขุ องการบอดสี บางแสงสแี ละสะทอ้ นบางแสงสี

- การผสมสารสที �ำ ใหไ้ ดส้ ารสที ม่ี สี เี ปลย่ี นไปจากเดมิ ถา้ น�ำ แสงสปี ฐมภมู ใิ นสดั สว่ นทเ่ี หมาะสม
มาผสมกนั จะได้แสงขาว

- แผ่นกรองแสงสียอมให้บางแสงสผี า่ นไปได้และดูดกลนื บางแสงสี

- การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถนำ�ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านศิลปะ
ด้านการแสดง

- ความผิดปกติในการมองเห็นสีหรือการบอดสี เกิดจากความบกพร่องของเซลล์รูปกรวย
ซง่ึ เปน็ เซลล์รับแสงชนิดหน่ึงบนจอตา

ม.๖ - -

๓. เขา้ ใจสนามไฟฟา้ และแรงไฟฟา้ พลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ สว่ นประกอบของตวั เกบ็ ประจุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประจไุ ฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ และความจขุ องตวั เกบ็ ประจุ
กฎของโอหม์ ค�ำ นวณพลงั งานไฟฟ้า และกำ�ลังไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟา้ สนามแมเ่ หล็ก หลกั การทำ�งานของแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละ
มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสตรง ไฟฟา้ กระแสสลับ และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมท้งั นำ�ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เตมิ

ม.๔ - -

ม.๕ ๑. ทดลองและอธิบายการทำ�วัตถุท่ีเป็นกลางทางไฟฟ้าให้มีประจุไฟฟ้าโดยการขัดสีกันและ - การนำ�วัตถุท่ีเป็นกลางทางไฟฟ้ามาขัดสีกัน จะทำ�ให้วัตถุไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า เน่ืองจาก

การเหนีย่ วน�ำ ไฟฟา้ สถิต อิเล็กตรอนถูกถ่ายโอนจากวัตถุหน่ึงไปอีกวัตถุหน่ึง โดยการถ่ายโอนประจุเป็นไปตาม

กฎการอนรุ ักษป์ ระจไุ ฟฟา้

M  y' 1  1111  1 y'กลุ่มสาระการเMรยี นรyู้ว'ิทยาศาสตร์
y

f sf s's s' M  y

yวชิ าฟิสกิ ส์

n1 sin 1  n2 sinMy'2 y'

M  31n1 sin 1  n2 sin 2 n1 sin 1  n2 sin 2
yy
s '  n2
s n1 n1 sin n11sinn21sinn22sin 2 s '  n2
s '  n2
s n1 s n1

sinc s 'nn12 ns2'  n2 sinc  n2 sinc  n2
s ns1 n1 n1 n1

ชัน้ ผลการเรียนรู้ 1  1 1 สาระการเรยี นร้เู พิ่มเตมิ
๒. อธบิ ายและค�ำ นวณแรงไฟฟา้ ตามกฎของคลู อมบ์
-ดเา้มน่ือทนใี่ ำ�กวลfัตว้ ถตั ุทถM่ีมแุsลีปะรปะsจรy'ะุไ'ฟจชุฟsน้าiดิไnปเดใยีกc วsลiก้ตnนั ัวnnดน12cา้ำ�นไฟทฟไ่ีnnก12้าลวจตัะถทุำ�เรใหยี 1ก้เfกวิดธิปกี 1าsรระนจว้ีุชs1า่ น'กิดาตรรเหงขน้าย่ี มวบนน�ำ ไตฟัว1fฟนา้ำ�สทถา1sติ ง 1
s'

-ทสเซขอ่ึง้ังจยี สสงุดนแาอปมแลงทะารแระนแถลจไปใะดุไชรฟมด้qF้วผีขฟ้ว11ธิ ก2ยน้าีกผสมาานั มดรีแกkนกขรyบั1fาใ้ีองqนรกกrง11�ำกqแร22ลMาะร2งั1รsงทส1ทfรำ�อะำ�ซงใหs1่ึขงหMวyกy'อ้ว1s่าk'ันงัตงรถแจะุมุดลยs1ีปปะ4yะy' กรรห'π1ะัะนา่εจจง0ไุรุโแดดะป้หยรวมผา่ ีทันงิศจตดุอรปยงกู่รในMFับะจ1แผ2ุ นลซควง่ึ เเูณkปสyy้ขนน็ 'qอไrต11ปqง2ร2ขต2งนารมะากหดฎขวข่าอkงองจปงุคดรลูปะ4อจรMFπมุะท11บεจ2ั้งุ์ 0   y'
y

k q1q2 k
r122

F12  Fk1q2 r11q22 2k เqมr11q่ือ222 k  k1 1 q1
4πε0 q41πε
E  k q1 0
r2
-กรระอทบำ�อตน่อภุ อานคqภุ ท2ามี่ คีปทรีม่ ะีปจรุไฟะจqฟไุ 1้าฟ ฟ ้า q 1 มสี นามไฟฟ้าขนาด E  k rq 12 ทำ�ใหเ้ กิดแรงไฟEฟ้า q1
๓. อธิบายและคำ�นวณสนามไฟฟ้าและแรงไฟฟ้าที่กระทำ�กับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่อยู่ใน k r2
สนามไฟฟา้ รวมทัง้ หาสนามไฟฟ้าลัพธเ์ น่ืองจากระบบจดุ ประจโุ ดยรวมกันแบบเวกเตอร์

- สนามไฟฟ้าที่ตำ�แหน่งใEด ๆ มkีคErqว12ามkสัมrqพ21 ันธ์กับแรงไฟฟ้าqท2ี่กระทำ�ต่อประจุไฟฟ้า q 2
ตามสมการ E  F12
-เนสอื่ นงาจมาไกฟจฟุดา้ ปลรพั ะธจเ์ แุนqตอื่ 2่ลงจะาจกุดqจป2ดุ รปะรจะqุ จ2หุ ลายจดุ ประจเุ ทา่ กบั ผลรEวมแบFqบ12เ2วกเตอรข์ องสนามไฟEฟา้ 
F12
q2

- ตวั น�ำ ทรงกลมทมี่ ปี ระจไุ Eฟฟา้ มFสี E1น2 ามไFฟ1ฟ2 า้ ภายในตวั น�ำ เปน็ ศนู ย์ และสนามไฟฟา้ บนตวั น�ำ
มีทิศทางตั้งฉากกับผิวตัวนำ�นั้น โqด2ยสนqาม2 ไฟฟ้าเนื่องจากประจุบนตัวนำ�ทรงกลมท่ีตำ�แหน่ง

ห่างจากผิวออกไปหาได้เช่นเดียวกับสนามไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุที่มีจำ�นวนประจุเท่ากัน

แต่อยู่ที่ศนู ยก์ ลางของทรงกลม

- สนามไฟฟ้าของแผน่ โลหะคูข่ นานเป็นสนามไฟฟา้ สมำ่�เสมอ

กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์
วชิ าฟิสกิ ส์

32

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม

๔. อธบิ ายและค�ำ นวณพลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ และ ความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองต�ำ แหนง่ ใด ๆ     บแ----แ--อ--กโ-ดตลคบัยคศตเตเปวพยมมะกู่กว่ลวกัวัรัวรลศื่อ่อืาาระเบัะหเยะังกกกัมมนนะยจจไ์นคง็บ็บยฟยตตำ�ำ�ะุดุทาว่งึ ไ์ตตปะปา่า่ทฟนปหา่ีอฟงงทัววัรรมาศาร้ยนศศฟเเะะางระตกกัใู่กก่วักั จงจาจ้วนจ่าบ็บ็ยยยยรทาปุุจมงุสจ์ไะร์ปปร์เกตะ่ีศเรขฟนะะาหนจรรมะ�ำกั ยีกหหาฟวะะอืุ่ดแกีพยมนตววา่จจง้าหปอค์ลา่ไงา่ำ�แจมุุมทนรบฟงรสงงัแทาาา่ีตะสสอ่งง่ดอฟหกตตนจซาำอ�อม้วงจน้าอ่่อนไแถุง่ึงงตยตดุมด่งอแแตตหึงสVUVUVVCำ�ตัวCปหพี้ด1ตยบบ�ำ�ำะแนเVUVUVVวัBBCCรแน้วแกหำ�ู่ล1สบบหน่งะBยBหแห่งึ็บังา่มใอขนำ�จVUVUVVสไงCCหนงดCนปkซk1นนไVปVkง่หุาจ1ม2นBBCฟง่ง่่ึงรนkVUVUVVQนkุกาC1VUCVUVVอVๆาVลCkCiใAAกCQใ121ม่งะ1CVqฟrnนQด1ก้นัรดศีกQาBB1BBา1นiAAQจีค1ตVมqrnจา้ยQ1ใkตกัrkรCVๆVคqkๆน้ั1แุ1า่2นq่สอ1Cดุจr ยำ�rQค1วข 2ล1EiqiAAWใQkอiหแVkใCดปqุkแVkVVเqไ์CkrrVnVQk11าน21ว1นน้ึ2ะCข2C1EiฟงนVUVUVVWปdหiนCCQV1ร1IQมC11CาiAAสQ1คiAAAr1ชบQกียVqqrnqะVQqวrฟ1nรQน2dม่ึqBง1BจCrน1ว1น้ิับนAร1จข1ะ2หEiqWiจสุง่า้rV2rาCqาเิqแุท1แคqจ2BนqหCrวนสุมrมdมnค2Eiป2kทุWEikวCiค่ีAณVWVาViBVkนมCคC่วqมจ12ไ211C2�ำeานรนนั่ฟQd1ยdม่งึอ1ืุขiAูลทACนQมvA1ผVCAqrnQq1กไดq3ป2ฟBูลอ2ม1ม่ีเวตdผด1นับัข้วr33มงรา้คีณCqสีC่าลด้Aqต1BยCrียตBสสะีคา่นง2Eiร้วWไรiV3.ฉนวันจมCศเCา่C1ด3ว2.1ายง1พ.นdเุ.แ�ำ่ลากัมมก.้จกAสเqเิ่มม.ว2ท3ดรย3ไบขัาส็บม.นฟขียไ.ลนแ์ก.Cอมขปก.ฟ.Bน้ึกฟงลสไงอ.นโาร3ฟ.ด.ดวศCะมา้ขต1ร.าะต.่าด้.ยปก้าั. กนด้ึาจคา ้ว3ปย มราขศตุกม.อื VUVUVVยตCC.Iไิม์รC รสอ1บัาักงส. ฟส าBมิB าามมง ยมข ม.ม ฟณน ปาสก.์VUVUVVไน กCCICสกณ. 1า้ฟใรมาnป าาkkBCนBมVVาเ kะร12ปกฟรดCนeรรกQก1จ1iAAQะาขvรอื่V ้าqrnQ1าาแุ nร1จะkอkCทd งV1Vรkรล12 rCeุจจqงเ Q่ีตAq1ต1ะCriVUVAUVVAค Q CสvาCทุVqrn2QEi1 1Wำ�iVแาล1CกนBBd11่ีเ2แมปrdกอ่ืจqาAqAหCrสqร็บน2มดุ2EiWiVนมผCkkV1ไปไปV2kC12dCฟดกกB่งQ1AรรiAAQqน23ข้ผVาqฟrnQะะ1C11รั้1ึ้นนนัจจCา้r Bq qุุ 3r 3.2EiWCiV.1C1.dA3.q2.....B..C1. 3  ...

๕. อธบิ ายสว่ นประกอบของตวั เกบ็ ประจุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประจไุ ฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ และ
ความจุของตัวเก็บประจุ และอธิบายพลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ และความจุสมมูล รวมท้งั
ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

CI CInICenCIC1Ive1dvnAdeCn1nAvCC2eedI1v2vAddCAACC323R1..C..V..3  ... I IR1R1VCI VnCe1vd AC2  C3 ...

U  k q1q2 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
r

UUkkUVVVqUVq1rq1rq22kkkkkkQQqrrnQ1qrrq1qrq2i2 วิชาฟิสกิ ส์
 VVVVสาkkรkkะiQVVVVrniQกVV1rnBBB1าBqrรqirikiเViVVรkViAียiAAniA1น1n1qรrriqWiEirเู้WiพWidAAqมิ่qAqเBตBBิม
33

ชน้ั ผลการเรียนรู้

๖. น�ำ ความรเู้ รอ่ื งไฟฟา้ สถติ ไปอธบิ ายหลกั การท�ำ งานของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ บางชนดิ และปรากฏการณ์ - ความรู้เร่ืองไฟฟ้าสถิตสามVVาBรBถนVำ�VAVไCAปVBอBธWิบVWVาAQqAAยVqAกBาBEรEทdำ�dงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด เช่น

ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ค-ท-เ-สปคนวคิรศเกรมาะาวตอ่ืรม่ือกมาระงหมตาไงกแฟยรขน่อ�ำส้เูไฟ้าลจารไฟมแัดวฟ้า่อื จนกดฝงฟหาับไต่นุ่นกรฟ้าัวสขใอืกใฟนนนอนมาอา้ำ�งารตที สอกามเัวศิสกถเิับไนลทียฟาิตแำก็�ดศายฟหไตงสังฟเล้าจรสีกค่งาฟอานัรทVUCกCกน1ม้ื่อVUาCขำ�CBำ�จ1มอางใอBเุดรพหสินีคงทถ้รเ่นวิดวVก1น2ี่มะCัตาVไสQ112ิดACใีศำ�UฟมCCถVUCQีCQ11IนC1Aกไเ1UักVCCุสฟQC1คป1ซตรยัมร้าอะึง่ัว์ไEือ่พVชธนแฟCnอ1ECCVง12ว่dิบCันสC12ำ�1ฟCCิeเถQ1d11ย21ลแC12าไธVvQQ่า1้า1Q1ฟ1ใ2ย็ลก์VกยสQdห1ปะฟตับลงู C้สACพรรไC้าาคV1CาVCปาอC1C2ซยืน้112VมวCกย1น23น่ึงทาา2ฏัง23ทอว้ิรมี่ห2จกCิศถมิสCเนุดาC.รปขรือ3.้า3ทร.C็วCะ1.ออ้13.ตณแCีม่ล.1ทงงัดล3อศี3์ใกกี่.อ.ขน3ะ.ักย.รนั.ย..อเ.ชะยเคู่อใ..ลงวี.นแ์ไ.รนัต..่ืฟอติ.ส.ลือ่.ตวั .นปฟไวงนรฟขถรดา้ าำ�ะฟต่าอต ยจยตำ่�ง้ัาวทำ�เกาอมนีอ่อวมวิเีทำ�ากันลา่สจจิศส็ไกมะเดทาตกกเร้ าคดิเราชงอลรขเน่ ื่ดอน้นึ ีนยอฟวทิส้ากผร่ีใันบะา่

๗. อธบิ ายการเคลอื่ นทขี่ องอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระและกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั น�ำ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ�กับความเร็วลอยเล่ือนของอิเล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของ
อิเลก็ ตรอนในลวดตวั นำ�และพืน้ ทีห่ นา้ ตดั ของลวดตวั นำ� และคำ�นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง

๘. ทดลองและ อธบิ ายกฎของโอหม์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความตา้ นทานกบั ความยาว พน้ื ทห่ี นา้ ตดั -ต้าเนมท่ือาอนุณขหอภงตูมวัิคนงำ�ตนัวั้นกมรคี ะวแาสมCCไสฟมั ฟพC้านั Cใ1ธนII1์กIตนั ัวCตนCnา2ำ�neม2โR1evกลvdCฎหdCAขะ3VAอ3คงโว.อ..า.ห.ม.ม์ ต่าเขงียศนักแยท์ทนี่ปไลดา้ดยว้ ทย้ังสสมอกงาแรล ะ ความ
และสภาพตา้ นทานของตวั น�ำ โลหะทอ่ี ณุ หภมู คิ งตวั และค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง รวมทง้ั - ความต้านทานของวตั ถุเมอ่ื IIอIIุณหnภneRมู1evRIRRR1ิคvdRIงdAตVAVัวRขR11ึ้นAlRA1lอAlยVRู่กVับ2 ชนRิดแ3ละรูปรา่ งของวตั ถุ ตามสมการ
อธบิ ายและค�ำ นวณความตา้ นทานสมมลู เมอื่ น�ำ ตวั ตา้ นทานมาตอ่ กนั แบบอนกุ รมและแบบขนาน

- คเมา่ อื่ คนว�ำาตมวัตต้าา้นนททาานนขมอางตต่อวั ตแบ้าRนบRทอานนกุ อรRา่Alม1นARlคไดวจ้าRมาR11กต1แา้ นถRบทR21สา2นบี สนRมตR3มวั 13ตูลม้านคี ท่าเาพน่ิมขึ้น ตามสมการ
- R R1 R2 R3

- เมือ่ น�ำ ตวั ตา้ นทานมาต่อแบRR1บRR1ขนRาRR1น1RE11WE1R11EคR1วRาRR2ม1RR221ต1IR2V11Vา้V1นRVRทR31tR3Rา311IนRI321rIrส2rมมRลู1R31ม3คี า่ลPดล ง ตามสมการ

I V

EE WVVW  IIrIIrVVtt PP  IIVV

1  1 C1 C11 C2 C3
 ...
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ C C1 CC2 C1C3C2  C3  ...
วิชาฟิสิกส์
C  C1  CI 2nCe3vdA...
34
I  nevd A  1 V
ชนั้ ผลการเรียนรู้  R
๙. ทดลอง อธิบายและคำ�นวณอีเอ็มเอฟของแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้ังอธิบายและ I 
ค�ำ นวณพลงั งานไฟฟ้า และก�ำ ลงั ไฟฟ้า V
I   1
 R
R l
A
R l
สAารRะการRเ1รยีนRร2ู้เพม่ิ Rเ3ตมิ

- แหล่งกำ�เนิดไฟฟ้ากรRะแสRต1รงเRช1่น2 แบR1ต3เตอร1ี่ เป็นอ1ุปกรณ์ท่ีให้พลังงานไฟฟ้าแก่วงจร
เพรลยี งักงวาา่ นอไฟเี อฟ็มา้ เทอป่ี ฟรคะจ�ำ นไุ ฟว1ฟณา้ ไไดด้จร้ 1าบั กตสอ่ มหRก1นางึ่ รหนRว่ 11ยปรRะจ2ไุ ฟฟRา้ เ3มอื่ เคลอื่ นทผ่ี า่ นแหลง่ ก�ำ เนดิ ไฟฟา้

R R1 ER2RV3  Ir

- พลงั งานไฟฟา้ ทถ่ี กู ใชEไ้ ปในเครVอื่ งใชไ้Iฟrฟา้ ในหนงึ่ หนว่ ยเวลา เรยี กวา่ ก�ำ ลงั ไฟฟา้ ซงึ่ มคี า่ ขน้ึ
กบั ความต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้ Wค�ำ น วณIได้จVาtกสมการ P  I V

W  IVt และ P  IV

๑๐. ทดลองและคำ�นวณอีเอ็มเอฟสมมูลจากการต่อแบตเตอรี่แบบอนุกรมและแบบขนาน - เมื่อนำ�แบตเตอรี่มาต่อแบบอนุกรม อีเอ็มเอฟสมมูลและความต้านทานภายในสมมูล
รวมท้ังคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซ่ึงประกอบด้วยแบตเตอรี่
และตวั ตา้ นทาน - ม-ภ ไ ด เคีาก ม้ต ย่าร อ่ืา ใเะ พมนน แ ส�ำสิ่ม ส แมมข ไ บก มึน้ฟ ตา ลู ฟ ตรเ มต ้าา ีคอ ใม นา่ รส ลท่ีว ม ดง เี่ ก หจล า มรง ร ไอื ต EEฟr IB1r น  า EEฟrFIB1กr มEErIB1EEr rIB1r้นา ัส rก มมR1Er 1EAร1 rาก1 1Rr1EEr1Eะqr ตAR1Er11ERา 1ErA1E11แA1 Evอ1่1rร1 E11Eส2 rแBr1 ErEต2 EErบr2IB1rrr rs2122ErE 2รrrบ21ErE i1EE2nง 222ข 22ท2 2.น r. ่ีปR1E.r1E. Aา1... .1ร1น.E .. r..ะ. .n. อrกr r21rr nเีrrอn1EEEE nอ2nr 1บr n2nn1Eม็2Er1 ตnEEnEEต ดเnn าอnn า้วnn.ม ฟ.ม ย .ล แสล.แแ�ำ มล�ำบrดลดnะมตบัะrับ 1ลู เ nEE ตม nn อคี รา่ ี่แคลงเะดตมิ ัวแตล้าะนคทวาานมตคา้ ำ�นนทวาณน
rFrrFrFmqqBmqvvmmqBqBvvvvvsBBiFnssiinnmqvvBsin 

กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
วิชาฟิสกิ ส์

35

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม

๑๑. อธิบายการเปล่ียนพลงั งานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสบื ค้นและอภปิ รายเก่ยี วกบั - การนำ�พลังงานทดแทนมาใช้เป็นการEแก้ปัญE1หาหEร2ือตอบสนอEงnความต้องการด้านพลังงาน

เทคโนโลยอี ่ืน ๆ ท่นี �ำ มาแก้ปญั หาหรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลงั งานไฟฟา้ เช่น การเปล่ียนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเปล่ียน

พลงั งานแสงอาทติ ยเ์ ปน็ Eพลงั งEา1นไฟEฟ2้าrโดยเrซ1ลลE์สr2รุnิยะ  rn

-นำ�เทคควโานมโรลู้ทยักีตษ่างะแๆลทะ่ีนกำ�รrมะาบแวrกน1้ปกัญาrรEห2ทาหาEงEรวือEิทต1ยอEาEบrศn11Eสาน2สอEตEงร2ค2์มวาาสมรตE้า้อnงงอกEุEปาnรnกทราณง์หด้ารนือพผลลิังตงภาัณน ฑเป์ต็น่ากงาๆร

ม.๖ ๑. สงั เกตและอธบิ ายเสน้ สนามแมเ่ หลก็ อธบิ ายและค�ำ นวณฟลกั ซ์แม่เหล็กในบรเิ วณที่ก�ำ หนด --สส-ฟทนมฟเ่ชีลเมสกากว่ัลื่อ้นมยาซกั มรแใสแ์ซหกี มนมแ์ ก้ร่เเ่ามหะหามเ่ แรลลหแใสกก็็ ลชมไตหก็พ้ฟ่เอ่นหลคฟพาลงัอื ้าแน้ื็กงจผนาทเ�ำา่ปนน่ต่ีนนE็นมIB1rง้ัมวลฉปีเานวสากรเดก้นสะแตRกEr1สน้สส1ัวบั1มEิทดสนสมนงธำ�นEวrI1ภิrตาrเr1Eา่าสม2าิทเม2้นพแป่ีใErแI1rชFIBมต1rrย็นRม1Er1้.แรเ่งิ่1บ.หเ่1Eขงสห.รห.ลrึน้ดลRเิ1Err1Rก็rร1วq1แ2Aกงr็11r1EือEทณEบvล2rค1โ2ผี่nะBEรrทซอื 2า่rลิเrrnส่ี1เErsว1น2ลขด.2นiณ2.nพนนป.า.ทอน้ืาญัม.rดย.ี่มท.แnห..ขดี.สที่มr.1า.อn์จEน่เพี่สrงหะnnาิ่งจสิ เลr1มแrกาน1nEก็nวแรดิ าnมดณมมสคีล่เนแาหวอ้ มา ามลแมเ่ มห็กลแเละขมโก็ ้ม่เดอหเมตัยขลารบยี ็กการนขสิเแ้นึวว่ ทนณนรทะไี่มดหด้ีเวสว้ า่ ้นยง
รวมทั้งสังเกต และอธิบายสนามแม่เหล็กที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ�เส้นตรง และ
โซเลนอยด์

๒. อธบิ ายและค�ำ นวณแรงแมเ่ หลก็ ทกี่ ระท�ำ ตอ่ อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ เคลอื่ นทใ่ี นสนามแมเ่ หลก็ ค- ำ�อนนวุภณาไคดทจ้ ี่มากีปสรมะจกุไาฟร ฟ F้าเคล่ือqAนvทBี่Bเsขi้าnไBrปAในสmqAนBvามแม่เหล็ก จะเกิดแรงกระทำ�ต่ออนุภาคน้ัน
แรงแม่เหล็กที่กระทำ�ต่อเส้นลวดท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านและวางในสนามแม่เหล็ก รัศมีความโค้ง
ของการเคลอื่ นทเี่ มอื่ ประจเุ คลอ่ื นทตี่ ง้ั ฉากกบั สนามแมเ่ หลก็ รวมทง้ั อธบิ ายแรงระหวา่ งเสน้ ลวด -โ-ดกลยรวรณดศั ตทีมัวปี่คี นรวำ�ะาทมจีม่ ไุโฟคกี ง้รฟขะา้ แอเคสงกลไฟาrอ่ืFรฟนเคท้าผลต่ีmq่าIอื่งั้ BLนvฉนBแาทกลrF่คีsเะiำ�ขnอนา้ rFยMFไmqว่ใูปqณBนvvใสนไmqBดqนสIBจ้ sNvvLานาiมnBาBกIแมAสssมแiมBinเ่มnกหcเ่าหลoรก็ลsก็ จะจเะกทดิ �ำ แใรหงป้ กรระะจทเุ �ำคตล่ออ่ื ลนวทดเ่ี ตปวัลนยี่ �ำนนไปัน้

ตัวน�ำ ค่ขู นานท่ีมีกระแสไฟฟ้าผา่ น

โดยทิศทางของแรงหาไดMจ้ ากกฎNมIือAFขBวาFcEoแILsลBะIคLs�ำ iBนnวsณtiBnขนาดของแรงไดจ้ ากสมการ
- เม่ือวางเส้นลวดสองเส้นขนานกันแMละมีกรNะIแAสBไฟcฟo้าsผ่านท้ังสองเส้น จะเกิดแรงกระทำ�
ระหว่างลวดตวั น�ำ ท้งั สอEง   EMtBEVrmNsIABBVc02toBs

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ E E1 E2  En 1  1  1  ....  1
วิชาฟสิ กิ ส์
r r1 r2 rn
36
1  1  1  ....  1 I E
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ rE r1EE11 r2EE22  rn EEnn Rr
๓. อธิบายหลักการทำ�งานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมทั้งคำ�นวณ E  
ปริมาณต่างๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง
IrrRrr11E rrr22   rn B  
๔. สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ� กฎการเหนี่ยวนำ�ของฟาราเดย์ และคำ�นวณ   rn A
ปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง รวมทั้งนำ�ความรู้เร่ืองอีเอ็มเอฟเหน่ียวนำ�ไปอธิบายการทำ�งานของ
เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ E AEE11 EE22  EEnn F  qvBsin 
BE 
๕. อธบิ ายและค�ำ นวณความตา่ งศักย์อาร์เอม็ เอส และกระแสไฟฟา้ อาร์เอ็มเอส
สาระF11rrการqเrr11รv11ียBนsrrรi11n22ู้เพม่ิ ....เ..ต.. ิม 1 r  mv
qB
r1n
rn

- เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นขดลวดตวั น�rำ ทIIอี่ ยmqใู่ RBนvสEEนาrมแมเ่ หลก็ จะมโี มเมนFตข์ องIแLรBงคsคู่ inวบกระท�ำ

ตอ่ ขดลวดท�ำ ใหข้ ดลวดหมนุ ซงึ่ น�ำ ไปใชอ้ ธRบิ ายกrารท�ำ งานของแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละมอเตอร์

ไฟฟ้ากระแสตรง โดยโมเมนต์ของแรFงBBคคู่ วIบLAคBำ�นsวinณได้จากสมการ M  NIABcos
-อเธมิบอ่ื ามยฟี ไดลกั้โดซยแ์ ใมชเ่ หก้ ฎลก็กเาปรลเหย่ี นนแีย่ ปวนลงำ�ตขดัอขMงFFดฟลาวรดาNqqเตAดวัvvIยนABB์ �ำเB ขssจiiียnnะcนเoกแsดิ ทอนเี อไดม็ ้ดเอ้วฟยเสหมนกย่ีEาวรน�ำ ในขดลtวBดตวั น�ำ นน้ั
- ทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าเหนยี่ วน�ำ Eหrrาได้โmmqqดBBยvvใชt้กBฎของเลนซ์
Vrms  V0
2

-กกาาครรวเทกาำ�มิดงอราู้เเีนกอขี่ยม็ อวเองกฟเับคกอรลื่ีอเอบั ง็มใในชเอ้ไมฟฟอฟเเตห้าอนตรี่ย่า์ไงวฟนVๆฟำ�FFา้rไmเชปมs่นใอชเIIแ้ตอLLVบอธBBิบรล02์ไลาssฟยัiiสnnฟกต้าา์แเรบหทบนำ�ขีย่ งวดานนลำ�วข ดอแขงลเอะคงกIรหีตr่ือmลางsรอกไ์ดำ�ฟฟเฟนลI้าิด02ูอไอฟเฟรส้าเซแนลตะ ์
Q =Qไท--ปส่ีกไตอาฟางรมฟขวเดัอ้าวงคกลกวรา�ำ าใะลนมแงั รตสสปู า่ อสขงงลศอเับฉกังฟลยทย่ีแ์งั่ีสกลค่งช์ะไ�ำ นักปนแรตวะบณาแบมไสดไบไซจ้ ฟ้านาQEIนEฟกVV์EEMMr12เmา้สrrรสmmsมือลssกนmบั าNNมรใNNชcีคI12VVคII้02วAAา่0022าttยTBBBBมงั ตผcc่าลooงหssศรักอื ยค์แา่ มลเิะตกอลรดระ์QซEEแง่ึ12สเเปไพฟมิ่น็ mฟคNNา่้าcเเ12ฉปลลย่ีT่ียแนบแบปราลกง



Q =QลดI rเmพsมิ่  I0
I  I02
rms 2

EEEE1122  N2
 NN12
N1

Q m c T
Q m c T

Qลด=Qเพิ่ม

I E กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
Rr วชิ าฟสิ กิ ส์

B 37
A

F  qvBsin 

r  mv
qB

ช้นั ผลการเรียนรู้ F  ILBsin 

สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ

M  NIABcos

๖. อธิบายหลักการทำ�งานและประโยชน์ของเครื่องกำ�เนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส การแปลง - เครอื่ งก�ำ เนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั ๓ เฟส มขี ดลวดตวั นำ� ๓ ชดุ แตล่ ะชดุ วางท�ำ มมุ ๑๒๐ องศา
อเี อ็มเอฟของหม้อแปลง และคำ�นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง
ซึง่ กนั และกัน ไฟฟ้ากระแสสลบั จากขEดลวดแตล่ ะชBุดจะมเี ฟสตา่ งกัน ๑๒๐ องศา ซงึ่ ช่วยให้มี
ประสทิ ธิภาพในการผลติ และการส่งพลงั งานไฟฟา้t

โ-รไงฟไฟฟฟ้า้ากแรละ้วแลสดสอลีเอับ็มทเ่ีสอ่งฟไใปหต้มาีคม่าบท้า่ีตน้อVเงรกrmือาsนรโเดปย็นVใไช02ฟ้หฟม้า้อกแรปะลแงสซสึ่งปลรับะทกี่ตอ้อบงดเ้วพย่ิมขอดีเลอว็มดเปอฟฐมจภาูมก ิ

และขดลวดทุติยภมู ิ

-ในไขฟดฟล้าวกดรทะุตแิยสภสูมลิขับอทง่ีหผ่มาน้อขแปดลลงวดโปดยฐIอมrีเmภอsูม็มิขเออฟงIให02นมข้อดแลปวลดงทจุตะิยทภำ�ูมใิขหึ้น้เกกิดับออีเีเออ็ม็มเเออฟฟเใหนนขี่ยดวลนวดำ�

ปฐมภูมิและจ�ำ นวนรอบของขดลวดทงั้ สอง ตามสมการ

E2  N2
E1 N1

๗. อธิบายการเกิดและลักษณะเฉพาะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แสงไม่โพลาไรส์ แสงโพลาไรส์ - การเหน่ียวนำ�ต่อเนื่องระหว่างสนามQแมเ่ หลm็กแcละสTนามไฟฟ้า ทำ�ให้เกิดคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
เชิงเส้น และแผ่นโพลารอยด์ รวมทั้งอธิบายการนำ�คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถ่ีต่าง ๆ
ไปประยุกต์ใช้และหลกั การท�ำ งานของอปุ กรณ์ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง แผ่ออกจากแหล่งกำ�เนดิ

Q =Q- คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยลสดนามเแพมม่ิ ่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

โดยสนามทั้งสองมที ศิ ตัง้ ฉากกนั และตัง้ ฉากกบั ทศิ ทางการเคลื่อนทข่ี องคลื่น

- แสงเปน็ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ชนดิ หนง่ึ โดยแสงในชวี ติ ประจ�ำ วนั เปน็ แสงไมโ่ พลาไรส์ เมอ่ื แสงนน้ั
ผ่านแผ่นโพลารอยด์ สนามไฟฟา้ จะมที ศิ ทางอยใู่ นระนาบเดียวเรียกวา่ แสงโพลาไรสเ์ ชงิ เสน้
สมบัตขิ องแสงลักษณะนี้เรียกว่า โพลาไรเซชัน

- คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มคี วามถต่ี า่ ง ๆ มากมาย โดยความถน่ี ม้ี คี า่ ตอ่ เนอ่ื งกนั เปน็ ชว่ งกวา้ ง เรยี กวา่
สเปกตรัมคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า

- ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ทำ�งานโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็ก ไฟฟ้า เช่น เคร่ืองฉายรังสีเอกซ์ เคร่ือง
ควบคุมระยะไกล เคร่ืองระบุตำ�แหน่งบนพ้ืนโลก เคร่ืองถ่ายภาพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ และ
เครือ่ งถ่ายภาพการสน่ั พอ้ งแม่เหล็ก

กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ E  E1  E2   En
วิชาฟิสกิ ส์
r  r1  r2   rn
38 E E1 E2  En

ชัน้ ผลการเรียนรู้ 1  1  1  ....  1
๘. สืบค้นและอธิบายการส่ือสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และ r r1 r2 rn
เปรยี บเทียบการสอื่ สารด้วยสญั ญาณแอนะล็อกกับสญั ญาณดิจิทลั
I E สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ
Rr

B
- การสAอื่ สารเพอื่ สง่ ผา่ นสารสนเทศจากทห่ี นง่ึ ไปอกี ทห่ี นงึ่ ท�ำ ไดโ้ ดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้

สารสนเทศจะถกู แปลงใหอ้ ยใู่ นรปู สญั ญาณส�ำ หรบั สง่ ไปยงั ปลายทางซง่ึ จะมกี ารแปลงสญั ญาณ

กFลบั มาqเvปBน็ สsาinรสนเทศที่เหมือนเดมิ

-ดrว้ สยัญสmqญัญBญvาณาณสดาริจสิทนลั มเทีคศวามมีสผอิดงพชลนาิดดคนืออ้ แยอกวน่าะสลญั ็อญกาแณละแดอนิจิะทลัล็อกโดยการส่งผ่านสารสนเทศ

๔. เขา้ ใจสมบตั ทิ างกายภาพของสสาร พลงั งานความรอ้ นทท่ี �ำ ใหส้ สารเปลย่ี นอณุ หภมู Fแิ ละILเBปลsiย่ีnนสถานะ สภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดุ ความดนั เกจ ความดนั สมั บรู ณ์

และความดนั บรรยากาศ แรงพยงุ จากของไหล ความตงึ ผิวและแรงหนืดของของเหลว สมบัติของของไหลอุดมคติ กฎของแกส๊ อุดมคติ แบบจ�ำ ลองอะตอมของ
รทั เทอรฟ์ อรด์ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ กมั มนั ตภาพรงั สี แMรงนวิ NเคIAลBยี รc์oปsฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ ฟชิ ชนั และฟวิ ชนั การคน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ ส์

อนภุ าค รวมทง้ั น�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ E   B
t

ชัน้ ผลการเรยี นรู้ V0 สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ
2
Vrms 

ม.๔ - -
ม.๕ -
Irms  I0 24
2
-

ม.๖ หวั ขอ ผลลัพธก ารเรยี นรู -สโรEEดถอเ12ยมานนไื่อทมะสีท่ เโปสNดNาํ าลใย12หรี่ยไไมสนดเ่สอป้ราสุณับลราย่ีหเหรปนรภะลอือกมู ีย่ณุคาิ นาซรหยองึ่เภรปคณุ มูยี วรหินิซมาภรมง่ึาูปมูณร้รอคิ พมินาํ ลานณังสวงสณคาาวนไราดคอมจวาราาจอ้ กมนมีทอุณที่ �ำ หใหภสู้มสิเปารลเ่ียปนลยไี่ ปนอแณุ ลหะภสสมู าคิ ร�ำ อนาวจณเไปดลจ้ ่ียานก

๑. อธิบายและคำ�นวณความร้อนท่ีทำ�ให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิ ความร้อนท่ีทำ�ให้สสารเปลี่ยน
สถานะ และความร้อนทีเ่ กิดจากการถ่ายโอนตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน

สสมมกกาารรส=Qว่ นปรmิมาcณ∆ขTองสพว ลนังงปารนมิ คาวณาขมอร้องพนลทงัี่ทงำ�าในห้สสารเปลยี่ นสถานะคำ�นวณได้จากสมการ
คQ ว า ม รm อ น c ท  ี่ท Tํา ใ ห ส สส่วานรปเปรลมิ ย่ี านณสขถอางนพะลคงั าํงานนวคณวไาดม รอ้ นที่ทำ�ให้สสารเปลย่ี นสถานะคำ�นวณได้
จจาากกสสมมกกาารร Q = mL

Q•ลด=วัตQถเพุท่มิ ี่มีอุณหภูมสิ งู กวา จะถา ยโอนความรอนไปสู

วตั ถทุ ี่มอี ุณหภมู ติ ํา่ กวา เปนไปตามกฎการอนุรักษ
พลงั งาน โดยปรมิ าณพลังงานความรอ นท่ีวัตถหุ นง่ึ
ใหจ ะเทากับปริมาณพลังงานความรอนท่ีวัตถุหน่งึ

F  IMMLMFBsiNnNINLIIAAIBABBsBiccnocososs

M EENEMIABcNoItstBABtBBcos กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
วชิ าฟสิ กิ ส์

E  VVVrErmmrsmsstBVVV020202tB 39
Vrms IIrVIrmmVrsrmsm02ssII02VI020202

ช้นั ผลการเรียนรู้ Irms สEEEEาE12EI12รIr12mะ02sกNNาNNNNร1212เI12ร02ียนรูเ้ พ่ิมเติม

- วตั ถทุ มี่ อี ณุ หภมู สิ งู กวา่ จEะEถ12า่ ยโQQอNNQEนE12ควmmาmมcNNcรcอ้12นTTไTปสวู่ ตั ถทุ มี่ อี ณุ หภมู ติ �่ำ กวา่ เปน็ ไปตามกฎการ

อนรุ กั ษพ์ ลงั งาน โดยปรมิ าณความรอ้ นทว่ี ตั ถหุ นง่ึ ใหจ้ ะเทา่ กบั ปรมิ าณความรอ้ นทว่ี ตั ถหุ นง่ึ รบั

เขียนแทนได้ด้วยสมการ QQQQลลดดล==ดm=QQQQcเเพพเม่ิพ่ิมิ่มTm c T

- เม่ือวัตถมุ ีอุณหภูมเิ ทา่ กนั จะไมม่ ีการถ่ายโอนความร้อน เรยี กว่าวัตถอุ ยู่ในสมดุลความรอ้ น

๒. อธิบายสภาพยืดหยุ่นและลักษณะการยืดและหดตัวของวัสดุท่ีเป็นแท่งเม่ือถูกกระทำ�ด้วย Q =QQ =Q - สมบตั ทิ ีว่ สั ดเุ ปลีย่ นรลูปดและกเพลลิ่มบัด สูร่ ปู เพเดมิ่ มิ เมอื่ หยุดออกแรงกระทำ�เรFียกวา่ สภาพยืดหยนุ่ ถ้า
แรงคา่ ต่าง ๆ รวมทัง้ ทดลอง อธิบายและค�ำ นวณความเค้นตามยาว ความเครยี ดตามยาว และ A
มอดุลัสของยงั และน�ำ ความร้เู รอื่ งสภาพยดื หยุน่ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ�วนั ยังออกแรงตอ่ ไป วัสดุจะขาดหรือเสียรูปอยา่ งถาวร

๓. อธิบายและคำ�นวณความดันเกจ ความดันสัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ รวมทั้งอธิบาย -แตปาในมรกยผรานั ณวตททีรเ่ี งกวี่ ตัดคิ ถขวามุน้ึ มกีแยาปารรวเผปทนั ลเ่ี พตย่ี รมิ่นงขแกนึ้ปบั ขลคองวคงาเวมสาเน้ มคลยน้ วาตดวาแมถปยา้ รอาFผAวอนั กโดตแยรรงคงกกวบัารมะขทเนค�ำาน้ ตดตอ่ขาเอมสงน้ยLแFาLล0Aรววงคดด�ำ งึไนมทวเ่ �ำกณในิ หไขดค้ ดีจ้ วจาากำ�มกสเคดัมรกกยี าาดรร
หลกั การทำ�งานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเคร่อื งอัดไฮดรอลกิ
  F สว่ นคFAวามเครยี ดตามยาวคำ�นวณไLดL0้จากสมการ Y  L  F
A L0 A

ช-นอดิัตขราอLสงL0่ววนสั ดคุวคาำ�มLนเL0ควณน้ ตไดามจ้ ายกาสวตม่อกคารว า ม เ ค Y ร ยี  ด ต  า ม ย า วหรเรือีย ก ว่าYYมอดุลFัสLข//อALงLย0L0ัง ซ่ึงมีค่าขนึ้ กบั

เใ-Yกนถินกา้ ขาวรีดสั เดจลำ�มุือกมีกYัดอวสัสดภดลุ าทุสัพขี่เหยอมืดงยาหะงั ยสสุ่นงูมแกวสับัสดดกงุไาวมรา่ ่สใวชาสั ้งมดาานุนYรน้ั ถเกปลลับย่ี FคLนืนแ//สปALู่สล0ภงคาพวาเดมิมยYไาดว้ไสดPมน้YgFบLอ้ ยัต//ินถAL้ีนา้ 0gอำ�ไhอปกใแชร้พงเิจพาม่ิรณขน้ึ า

ไสข--Yด่อวภค้จนงวาาแชาผกรมนPPลสงดะgรFทมLนัทวก่ีขมทมี่/Y/าอPขี่เขีรALงค0อ อเ 0รห งgง่ือ PPลเคhหงวgPวFมลLกาgอืวรม//วบะPดAัดLทร0ันไร0ำ�ดgบจต้ hอุรเงั้ Pรรยฉยีgยจู่ากากะวกมตา่ าแี่อศครพแงวน้ื เาลนทมะอ่ื ีห่ดคงนนั วจึง่เาาPFPกหมกจgBนดขว่คัอนย�ำงเPกเเนหป0จวล็นVgณวเคhgรไกPวีดยราg้จกะมาวทดก่า�ำ ันสตคใมอ่นPFวPFPกพขาYBาgBน้ืมอรงผด  เF PัวินPlห PP ภ0 ส0ล g FาVัมว VLg ช บg hgน/ /PP ูรP ะALg ณg0 0โ ์g ด ค ยh ำ�P ข น gน ว า ณ ด

FB  VFgB  Vg F P  12FlFB v2 Vggh 
l

กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ การผลติ และการสง พลงั งานไฟฟา
วิชาฟิสิกส์ • ไฟฟากระแสสลบั ทส่ี งไปตามบา นเรือนเปนไฟฟา
กระแสสลับท่ีตองเพิม่ อีเอ็มเอฟจากโรงไฟฟา แลวลด
40 อเี อ็มเอฟใหม ีคาท่ตี องการโดยใชห มอแปลงซึ่ง

ประกอบดวยขดลวดปฐมภFูมแิ ละขดลวดทตุ ิยภูมิ
• ไฟฟากระแสสลบั ท่ีผานAขดลวดปฐมภมู ขิ องหมอ
แภปูมลิขงอจงะหทมาํอใแหปเ กลดิงอโีเดอยม็ อเอเี อLฟL0็มFAเเหอนฟย่ี ใวนนขาํดใลนวขดดทลตุ วยิดภทูมุติ ิย
ขขอ้นึ งกขบั ดอลีเอวด็มทเอ้งั ฟสใอนงขตดาลมวสดมปกฐามรภูมแิ ละจํานวนรอบEชัน้
ผลการเรยี นรู้ - คา่ ของความดนั อ่า2นไ=ด้จาNกเ2ครสYอื่ างรวะัดกควาLารL0มเรดียันนเชร่นเู้ พแมิ่ มเนตอมิ มเิ ตอร์ บารอมิเตอร ์

E N- เมอ่ื เพิ่มความดัน ณ1 ต�ำ แหน1ง่ ใYดYๆในFขอ/งเAหลวที่อยนู่ ่ิงในภาชนะปิด ความดนั ท่เี พม่ิ ข้ึนจะ
ส่งผ่านไปทุก ๆ จุดในของเหลวน้ัน เรียกLว่า/ Lกฎ0 พาสคัล กฎนี้นำ�ไปใช้อธิบายการทำ�งานของ

๔. ทดลอง อธิบายและค�ำ นวณขน4าดแรงพเยขุงาจาใกจขคองวไหาลมสัมพนั ธของความรอ นกบั การ-เคเวปรตั อื่ ถลงทุอีย่ อ่ีดั ยนไฮใู่ นอดขรณุ ออลงหไิกหภลทูมงั้ ิแหFมAลดะหสรอื ถเYพายี นงPบะgาขFงLสอ/ว่/งนALgส0จhะสถากู รแรงพสยภงุ จาาพกขยองดื ไหหลยกรุนะท�ำ โดยขนาด
อธบิ ายและค�ำ นวณความตงึ ผิวขขแนภแองลกอาิวขวสอะงเคงวแะอเหลขัสรุดลยีงอดวมหรงุรคแวคนฟมตลลืดทแิส ะงั้่ืนขสลกิมแงัอะสเอกลงพอตดขะแนลลุ ออลังุภะัสนงองขาเธุภาหคบิอนาลางคยใรวยแนวรงักงรขมหมัะคอทนบมดืวงั้งขันบไานอหตมงาํ ลภดคทอันาวฤุดพาใษมนมจกแ-รฎาราคคขังรกงรวีอสพูไตลอคาปะอมยวีิงยางุแตตแใไเมกงึทชรหอลผตาา่ งรวิึงปมกะลจผเนบัปสมรขิวขน็ิวแขะมเอนสชอเรโามกน่งงคยYดงวบโานกลัตพชตับรา�้ำถขิยี นรหยตุรแอLเนร่าดงุงLบ0งกัขนิ(ปปขใอๆรบแรอชงนนฏใเลงานหผอขูลิกกะขลวิอันอนวลหริงฏทงไำ�้ทิยPFหีไลขกย่ี หกลPFPาB่ใีดึอักาลทgหฎผงBนรขแถี่ขวิ FPขแิวมlกูขณนอ0PวลอกอเาตVั0งงงคดโงบเถVอgแฟgหไลPแุแารhgลมางทgPโงยีกวชพรนตตgไรนสวยทค ออดิดุ้งต่ี พิมจว้ิเงากยลามทีดปาลกแหรก็ ขฤรีสรซังลงอทมึับงกัษดงตคขงาึรไตฎผาหอิกวนมวิงลาีจอราคปมเูาลมำ�ลรรทนตา็กนค์ตกววมิัวหขณฏึงดีิรสกผไสอีอื ดาี ซวิรง้จกณงึ่าาใกรท์ชโสอเ้่ีคปมธง้ กน็บิขาผาอรยลง
๕. ทดลอง
ของเหลว

แดงน้ี) ผิวของเหลว โดยควYามตึงผFวิ ข/อAงของเหลวคำ�นวณไดจ้ ากสมการ
ชน้ั ผลการเรียนรู
สาระการเรยี นรูL / L0 P12Flv2  gh 

- ความหนืดเป็นสมบัติขPอgงของไหgลhวัตถุที่เคลื่อนที่ในของไหลจะมีแรงเนื่องจากความหนืด
6. อธิบายสมบัตขิ องของไหลอดุ มคติ สมการ •ต้านขกาอรงเคไลห่อื ลนทอข่ี ดุ อมงวคัตถตุ เิเรปยี กน วขา่ อแรงPงไหPVหนดืลท1n่มีRกีTvา2รไNหkลgBThอยาง
ความตอ เน่ือง และสมการแบรนลู ลี รวมทัง้๖. อธบิ ายสมบตั ขิ องของไหลอดุ มคติ สมการความตอ่ เนอื่ ง และสมการแบรน์ ลู ลี รวมทงั้ ค�ำ นวณ สหโ -A ด มขม ยν อ า่ํไนุ งม เไ ค่ห=หสา่มลมมคอนุคงออีดุ ตา มมตััวคไคอี รมตตังาเิรตมปากวัน็กีคาขาวรรอไางPFไหไหมBหลตหลลาทPตนมม่ี 0สาดืกี VมมากรgบPสไาPหgรบีมPลคVอกอวVยาาัดมา่ ร2งตไ23สคมอ่ nมเNวRไน�่ำ ดเาอ่ืTEสงมมkแอตลไNอมะม่เkไนคีBหTวือ่ าลมงโหดนยดื ไบมบี อ ดั ไมไ่ ด้ และไหล
คํานวณปริมาณตาง ๆ ทเ่ี กีย่ วของ และนําปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และนำ�ความรู้เกี่ยวกับสมการความต่อเนื่องและสมการแบร์นูลลี
ไปอธบิ ายหลกั การท�ำ งานของอคุปวการมณรต์ า่เู งกๆีย่ วกบั สมการความตอเน่อื งและ
สมการแบรน ลู ลีไปอธิบายหลกั การทํางานของ •แขค-ผหอลวลตนรำ�ว่างะตวแยมไพมหปําหขดนรแลอลมิง่ันหงัสงาอคงอตสนวุดงรามัาตง นเมมำ�ปบสดแศคน็ อูรหันคกัตณนสงา่ ยิทัม่งตคบบงต่ีไาํPพนตูรหอแสัวณลตาลหห์ ังยาพF12อนนมlกงลสรยาึ่งังงะมงนาหบแvากงสจน2านWนvสเรจrลดvPmวสแลมียrsนบmยนVาวา่ํsร์ตกตยปPน์gเ่อนัสอกลูhรหขลม3หมิรV23นอี k3 งะmึ่องานNBขหkmแตคTจอB่ึงนEา่Tสงระห่วคไkยเหมงนดเปตลปีผวัวรอยี ิมลนุดยวามรปคตกควรารตนั มคแิทมิ ขลขไี่ งาหอะอตตลพงงอัวลรยังา่งงาสนมศ่ำ�ักเยส์ตม่ออหจะนม่ึงี
อุปกรณตา ง ๆ

ตามสมการแบรนูลลี nRTQWNkUPBTVW

PV

 Y 
 L0L 
 L กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
L0 วชิ าฟสิ กิ ส์
Y  F / AL0
YY 41
 YLFA/ L0

Y F/A Pg   gh
Y LF//LA0 L
  L0P0FL//PALg0
L / L0 PY
Pg   gh

Pg   gh Y FB PgVg  gh
P P0  Pg

ช้ัน ผลการเรียนรู้ -เ-อคดุคแลมวกอ่ื าค๊สนมตอทสิ ุดเมัีแ่ ขมพบียคบนั นตธสแFิเร์่มุปทPFBะ็นนแBหไแลวดFะกาl่ F้ดPงมl๊สค้ว0VีกทยวVา่ีโgาสรมมgมชPเดลกนYgนักาแPสรุลบป าม บรPรีขมิ ยะgFนF12าดืLPlFกตาหB/ร/าดยแรALเvุน่ลลเ0FP2ร็กะg0ยีอมhVณุนากgหรP้เูภgไgพมมู h่มิ่มขิ ีแอเตรงแงิมยกึดส๊ อเหดุ นม่ียควตรเิ ปะหน็ วไป่าตงโามมเกลฎกขุลอมงแีกกาส๊ร
๗. อธบิ ายกฎของแก๊สอดุ มคติและคำ�นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง

P  1 v2 PVgPh nPR0Tl PgNkBT
-ทเ-ตจ-ฉาใจา�ำจลนกมใาา่ียหภกสสกแส้ทามมแลชากฤกบะมนษาาบอาระรฎรจัตป จี ถำ�รด ิ ลWศล าvPPเ นเมอกvึr PPPรmVV ข์rษอง่ื ว็msVV ขอมอา s งอสกี2า Pแ ง1มร2า กnแร์เ23 บอn ส๊เRก323 Vปตั็ม RN๊ส3kคT ทิvmลเN อkBTวอm Eย่ีา2T ุดBาสงEน Tมkม กWQvแP ขkดค าNrป อmนัยVNต ลksง PFPภแิ gโงkBกสลามBVปThvBPPPPฎว่พะเรTrUลนพmกVบVม23ิ กF12อsาลl3าาVลุรัตNงงัตkn1m2เขงปรVรBคRWาEอาขรvTnลนg23เTงะอkร2Rื่อ3จแกvง็วNนลkกTแาmอ2นBทส๊รกEาTขเ์ไส่ี๊ขNรฉดkอเ์โอgลอkด้ งNงย่ีม็hยแBนgขkTเคกิวออhBวส๊ ตสTงาไันโขมดมอด้ ไเแงลนัดลโกแ้คมะลุกงเจลตข่ าคกวัอกวุลงงกาแาขมฎกนอดขส๊ทงนัอมแเี่ กงคกี พแดิ วส๊ ลกขาคงั มน๊้ึส�ำงสอคนามัุดน�ำวนพมณจวลคนั ไณนดตธ์้์ิ
๘. อธบิ ายแบบจ�ำ ลองของแกส๊ อดุ มคติ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ และอตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอสของโมเลกลุ
ของแกส๊ รวมท้ังค�ำ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง

๙. อธิบายและคำ�นวณงานท่ีทำ�โดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอธิบายความ

สัมพันธ์ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมท้ังคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ไดจ้ ากสมการ W PV hf PV  32PNVEk
ท่ีเก่ียวข้อง และนำ�ความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบไปอธิบายหลักการทำ�งานของเคร่ืองใช้ W

ในชีวิตประจ�ำ วนั - โมเลกุลของQแก๊สอุดมUคติในWภาชนะปิดจะมีพลังงานจลน์ โดยพลังงานจลน์รวมของโมเลกุล

hfเแรลียะกอวุณ่า หพภลมูังงสิ าัมนQบภูราณยข์ในอUขงแอกงแ๊สWก ส๊ หvรือrmQพs ลังงาน3UภkmาBยTใWนระบบ ซงึ่ แปรผนั ตรงกับจำ�นวนโมเลกุล
hf hf- พลังงานภายในระบบมีความสัมพันธ์กับความร้อนและงาน เช่น เม่ือมีการถ่ายโอนความ

รอ้ นในระบบปดิ ผลของการถา่ ยโอWนความPรอ้ Vนนจ้ี ะเทา่ กบั ผลรวมของพลงั งานภายในระบบท่ี

เปลยี่ นแปลงกบั งาน เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานเรยี กกฎขอ้ ทห่ี นง่ึ ของอณุ หพลศาสตร์

แสดงได้ดว้ ยสมการ

Q U W

hf


Data Loading...