Is ลัทธิกีดกันทางเพศ - PDF Flipbook

Is ลัทธิกีดกันทางเพศ ทำให้เรารู้จักลัทธิกีดกันทางเพศและความหมายของความเสมอภาพทางเพศ

108 Views
34 Downloads
PDF 10,757,652 Bytes

Download as PDF

REPORT DMCA


การเขยี นรายงานวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง

เรอ่ื ง ลัทธกิ ดี กนั ทางเพศ

1.นางสาวปยิ าพชั ร นชุ เจรญิ เลขที่ 14

2.นางสาวนิษา จโี น เลขที่ 17

3.นางสาวสธุ ดิ า แสงหาญ เลขที่ 32

ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5/5

เสนอ

คุณครยู วุ ดี ญาณสทิ ธิ์

รายงานน้เี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง

รหสั วชิ า ร 30201 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563

โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค อาเภอเฉลมิ พรเเกยี รติ จงั หวดั สรเบรุ ี

สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 4

สารบัญ

เร่ือง หนา้
ปรเวตั ผิ ้จู ัดทา ก
บทคัดย่อ ข
บทที่ 1 บทนา 1
บทท่ี 2 เอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 3
บทที่ 3 วธิ ีการศึกษาคน้ ควา้ 19
บทท่ี 4 ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ 23
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลแลเข้อเสนอแนเ 25
ภาคผนวก 27
บรรณานกุ รม 28

ช่ือเร่อื ง ลัทธิกีดกันทางเพศ

ผศู้ ึกษา นางสาวปิยาพชั ร นชุ เจรญิ ชนั้ ม.5/5 เลขท่ี 14

นางสาวนษิ า จโี น ชน้ั ม.5/5 เลขท่ี 17

นางสาวสธุ ดิ า แสงหาญ ชัน้ ม.5/5 เลขท่ี 32

ครทู ปี่ รกึ ษา คุณครูยุวดี ญาณสิทธ์ิ

รเดบั การศกึ ษา นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์ พุแค

รายวชิ า การศึกษาคน้ คว้า (IS2)

ปีการศกึ ษา 2563

บทคดั ยอ่

เกิดเปน็ ผู้หญิงไมไ่ ด้แปลว่าจเออ่ นแอ หรอื เกิดเปน็ ผูช้ ายก็ไม่ได้แปลว่าจเแข็งแรงเสมอไป ค่าของคนไม่ได้
อยู่ท่ีเพศเราไม่ควรกีดกันความสามารถของผู้อื่นโดยใช้เพศเป็นเครื่องชี้วัด แต่ควรทาความสามารถแลเความดีมา
เป็นเคร่อื งช้วี ัดมากกว่า แลเการศึกษาครั้งนม้ี ีวัตถุปรเสงค์เพ่อื เปลี่ยนตรรกเความคิดว่าผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิงแลเ
สรา้ งความเขา้ ใจในเรอ่ื งความเทา่ เทียมทางเพศในสงั คมไทย ณ ปัจจุบัน กลุ่มเปูาหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
5/5 จานวน 32 คน

ปรเวตั ผิ จู้ ดั ทา
ชอื่ เร่ือง ลทั ธกิ ดี กนั ทางเพศ
1.นางสาวสธุ ิดา แสงหาญ
ปรเวตั สิ ว่ นตวั
วนั ที่ 3 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2545 อายุ 18
ทอ่ี ยู่ 15หมู่ 11 ตาบล พุแค อาเภอ เฉลมิ พรเเกยี รติ จงั หวัดสรเบรุ ี
ปรเวตั กิ ารศกึ ษา
ปี พ.ศ.2560 มัธยมศกึ ษาปีท.่ี 1-3 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกรเบัง
ปี พ.ศ.2562 มธั ยมศึกษาปที ี.่ 4/5 โรงเรียนรตั นโกสนิ ทร์สมโภชลาดกรเบัง
ปี พ.ศ.2563มธั ยมศึกษาปที ี.่ 5/5 โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค
2.นางสาว นสิ า จีโน
ปรเวตั สิ ว่ นตวั
วนั ท่ี 29 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ.2546 อายุ 17
ทอี่ ยู่ 73/4 หมู่ 4 ตาบล หนา้ พรเลาน อาเภอ เฉลิมพรเเกียรติ จังหวัด สรเบรุ ี
ปรเวตั ิการศกึ ษา
ปี พ.ศ.2560 ช้ันปรเถมศึกษาปที .่ี 6 โรงเรยี นเกตพุ ชิ ัย
ปี พ.ศ.2561 ช้นั มธั ยมศึกษาตน้ โรงเรยี นเทพศิรินทร์ พุแค
ปี พ.ศ.2562 ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ พุแค
3.นางสาวปิยาพชั ร นุชเจริญ
ปรเวตั สิ ว่ นตวั
วนั ท่ี 8 เดอื น กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2547 อายุ 17

ทอี่ ยู่ 72/3 หมู่ 6 ตาบล พแุ ค อาเภอ เฉลิมพรเเกียรติ จังหวดั สรเบรุ ี
ปรเวตั กิ ารศกึ ษา
ปี พ.ศ.2560 ชน้ั ปรเถมศึกษาปีที.่ 6 โรงเรยี นบ้านวดั เขาดินใต้
ปี พ.ศ.2562 ชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์ พแุ ค
ปี พ.ศ.2563 ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเทพศริ ินทร์ พแุ ค

บทที่ 1

บทนา

ความเปน็ มาแลเความสาคัญของการศกึ ษา

การเหยียดเพศ หรือ เพศนิยม (Sexism) หรือ การกีดกันทางเพศ หมายถึง การแบ่งแยกทางเพศแลเ
เลอื กท่รี ักมักทช่ี ังตอ่ เพศใดเพศหนงึ่ แตส่ ่วนใหญจ่ เมผี ลกรเทบตอ่ ผหู้ ญงิ แลเเด็กหญงิ แลเถูกเช่ือมโยงกับการเหมา
รวมแลเบทบาททางเพศแลเอาจรวมถึงความเชื่อท่ีว่าเพศหน่ึงมีความเหนือกว่าอีกเพศการกีดกันทางเพศท่ีรุนแรง
อาจส่งเสรมิ การคุกคามทางเพศ

สังคมวางกรอบให้ผู้หญิงปรเพฤติปฏิบัติตามจารีตอย่างเคร่งครัดต้องรักนวลสงวนตัวในขณเที่ฝุายชาย
ไม่ได้ถูกสังคมคาดหวังว่าจเต้องเป็นเช่นนี้จเพบว่าสังคมไทยจเยกย่องผู้ชายท่ีมีภรรยาหลายคนว่าเก่งกล้ามี
ความสามารถ เชน่ จนุ แผน แต่ในขณเท่ีสังคมไทยปรเณามผหู้ ญิงท่ีมีหลายสามวี ่าคนไม่ดี เชน่ นางวนั ทอง

เราควรปรับทัศนคติหรือตรรกเเร่ืองความเสมอภาคทั้งหญิงทั้งชายแลเสร้างความเข้าใจท่ีถูกต้องว่าถึง
ผชู้ ายจเแข็งแรงแต่ไม่ไดแ้ ปลวา่ จเถนดั ทาทุกส่งิ เพราเสมัยน้ีผู้หญิงก็สามารถมาเป็นผู้นาได้มากมายหรือแม้กรเทั่ง
ผ้ชู ายยงั เป็นลกู น้องผ้หู ญงิ ไดใ้ นงานหรอื อาชพี บางปรเเภท

วตั ถปุ รเสงคข์ องการศกึ ษา

1. เพอื่ ให้นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์ พุแค จงั หวัดสรเบรุ ี รู้จกั ความหมายของคา
วา่ ลทั ธกิ ดี กนั ทางเพศเพื่อทาความเขา้ ใจให้ถกู ต้อง

2. เพ่ือให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรีได้พิจารณาตรรกเ
ความคิดของตนเองในเรือ่ งของความเท่าเทยี มทางเพศ

ขอบเขตการศึกษา

ขอบเขตปรเชากร

ศึกษาปัญหาในด้านความคดิ ที่เก่ียวกับความเสมอภาคทางเพศของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5
โรงเรยี นเทพศริ ินทร์ พุแค จงั หวัดสรเบุรี ทั้งรเดบั ช้นั ม.5

ขอบเขตเวลา

ศึกษาปัญหาในด้านความคิดที่เก่ียวกับความเสมอภาคทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค จังหวดั สรเบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 เป็นเวลา 4 เดือน ต้ังแต่เดือนพฤศจิกายน
ถึงเดอื นกุมพาพนั ธ์
เนอื้ หา

1. ความหมายของคาว่า ลัทธิกีดกันทางเพศ

2. ความหมายของคาว่าเสมอภาคทางเพศในความคิดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน เทพศิรินทร์ พุ
แค จงั หวดั สรเบุรี

3. ปัญหาตรรกเผิดๆในเร่ืองของความเสมอภาคทางเพศของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 แลเในปัจจุบัน
โรงเรียน เทพศริ นิ ทร์ พุแคจังหวัดสรเบรุ ี

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาเ

1. การกดี กันทางเพศ หมายถึง การแบ่งแยกทางเพศแลเเลือกทร่ี กั มักที่ชังต่อเพศใดเพศหน่ึง
2. ความเสมอภาคทางเพศ หมายถึงการเท่าเทียมทางเพศในด้านต่างเช่นด้านการศึกษา ด้านอาชีพ
3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี

บทท่ี 2
เอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ ง

ศึกษาเร่ือง ลัทธิกีดกันทางเพศของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค
จังหวัดสรเบุรี รายงานวิชาการสื่อสารแลเนาเสนอ (IS2) รหัสวิชา ร30201 ผู้ศึกษาได้ศึกษาตารา เอกสาร แลเ
งานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง เพ่ือเป็นกรอบแนวคิดในกรดาเนินการศกึ ษาค้นควา้ แลเอ้างองิ ตามหวั ข้อต่อไปน้ี

1. ความหมายคาวา่ ลทั ธิกีดกันทางเพศ
2. ความหมายของคาว่า ความเสมอภาคทางเพศ
3. การสารวจตรรกเความคิดในเรอ่ื งของความเสมอภาคทางเพศ
4. การมีจติ ใจเปิดกว้างใหท้ างด้านเพศท่ี3
5. การใช้ชีวติ อยู่ร่วมกันในสังคมดว้ ยความเสมอภาค
6. งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง

ความหมายของการกดี กนั ทางเพศ

Sex discrimination การกีดกนั ทางเพศ

Sex discrimination การกีดกันทางเพศต่อสตรี
against women

Sex discrimination in การกีดกนั ทางเพศในการศึกษา
education

Sex discrimination in การกีดกนั ทางเพศในการจ้างงาน
employment

เพศนิยม (sexism) หรือ การกีดกันทางเพศ หมายถึงการแบ่งแยกทางเพศแลเเลือกท่ีรักมักที่ชังต่อ
เพศใดเพศหน่ึง แต่ส่วนใหญ่จเมีผลกรเทบต่อผู้หญิงแลเเด็กหญิงลเถูกเช่ือมโยงกับการเหมารวมแลเบทบาท
ทางเพศ แลเอาจรวมถึงความเช่ือที่ว่าเพศหน่ึงมีความเหนือกว่าอีกเพศ การกีดกันทางเพศที่รุนแรงอาจส่งเสริม
การคกุ คามทางเพศ การขม่ ขนื แลเความรุนแรงทางเพศรปู แบบอื่น ๆ

แหล่งกาเนดิ คาแลเคาจากดั ความ

“Sexism” เป็นคาท่ีเร่ิมใช้กันราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือคติความเช่ือหรือทัศนคติต่อเพศใดเพศหน่ึง
ว่ามีความด้อยกว่าอีกเพศหนึ่ง แลเอาจจเหมายถึงความเกลียดชัง หรือ ความเดียดฉันท์ท่ีมีต่อเพศใดเพศหนึ่ง
ทั้งหมด นอกจากน้ันก็ยังหมายถึงการใช้สามัญทัศน์ของความเป็นชาย (masculinity) ต่อชาย หรือ ความเป็น
หญิง (femininity) ต่อหญิง ท่ีเรียกว่ามีคุณลักษณเที่มี “อัตวิสัยเชิงเพศนิยม” (chauvinism) “อัตวิสัยเชิงบุรุษ
นยิ ม” (Male chauvinism) หรอื “อตั วิสัยเชงิ สตรนี ิยม” (Female chauvinism)

Fred R. Shapiro เชื่อว่าคาว่า "sexism" ถูกใช้ครั้งแรกเม่ือ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 โดย Pauline M.
Leet ในช่วงฟอร่ัมนักเรียนแลเอาจารย์ "ที่ วิทยาลัย Franklin and Marshall แลเคร้ังแรกท่ีคาว่า "sexism"
ปรากฏในการพิมพ์ อยู่ในสุนทรพจน์ของ Caroline Bird ในเร่ือง "On Being Born Female" ซึ่งเผยแพร่เม่ือวันที่
15 พฤศจิกายน ค.ศ.1968 ใน Vital Speeches of the Day (หน้า 6) ในสุนทรพจน์น้ี เธอกล่าวว่า "มีการ
ยอมรับในต่างปรเเทศวา่ เราอยูใ่ นปรเเทศท่ีเป็นเพศนิยม เพศนิยมเป็นตัดสินคนตามเพศของพวกเขาในเมื่อมีเพศ
ไม่ไม่สาคัญ เพศนยิ ม(sexism)ตัง้ ใจให้คล้องกบั การเหยียดผิว(racism)"

การกีดกนั ทางเพศ คอื การแบ่งแยก มีอคตหิ รือคา่ นยิ มบนพ้นื ฐานของเพศ มกั สง่ ผลกับผ้หู ญิงแลเ
เด็กหญงิ ได้รบั การรเบวุ า่ เป็น "ความเกลียดชงั ของผ้หู ญิง" แลเ "ความอยุตธิ รรมตอ่ ผ้หู ญิงทล่ี เน้อยใหพ้ อกพนู ข้ึน
เม่อื เวลาผา่ นไป

ปรเวตั ิศาสตร์

หญิงสาวสองคนที่ถกู กว่าหาว่าเปน็ แม่มด ในซาเรม รัฐแมสซาชูเซตส์
การลา่ แม่มด

การกีดกันทางเพศอาจเป็นแรงผลักดันที่กรเตุ้นการล่าแม่มดรเหว่างศตวรรษที่ 15 แลเ 18ในสมัยก่อน
ยโุ รปแลเในอาณานิคมยุโรปในทวีปอเมริกาเหนืออ้างว่า แม่มดเป็นภัยคุกคามต่อคริสตจักร ความเกลียดชังผู้หญิง
ในยคุ นั้นมีบทบาทในการปรเหารผหู้ ญงิ เหลา่ น้ี

การใช้เวทมนตร์คาถาผิดกฎหมายในหลายปรเเทศ รวมท้ังปรเเทศซาอุดีอารเเบีย ซึ่งมีโทษถึงตาย ในปี
2011 มีผู้หญิงถูกตัดหัวในข้อหาใช้ "คาถาแลเเวทมนตร์" การฆาตกรรมหญิงหลังจากถูกกล่าวหาว่าใช้มนตร์ดา
ยังคงเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไปในบางปรเเทศ ตัวอย่างเช่นในปรเเทศแทนซาเนียหญิงสูงอายุปรเมาณ 500 คนถูก

ฆาตกรรมในแต่ลเปีตามข้อกล่าวหาดังกล่าว ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าใช้มนตร์ดาแลเความรุนแรง มักเป็นกรณีท่ีมี
การเลือกปฏิบัติหลายรูปแบบ เช่นการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเพศ ท่ีมีการแบ่งแยกตามวรรณเอย่างใน
ปรเเทศอินเดียแลเเนปาลทม่ี ีการก่ออาชญากรรมดังกล่าวเปน็ เร่ืองที่พบเหน็ ได้บอ่ ย

การกดี กันทางเพศในอาชพี

การกีดกันทางเพศในอาชีพหมายถึงการเลือกปฏิบัติด้วยคาพูดหรือการกรเทาตาม เพศของบุคคลนั้นในท่ี
ทางาน รูปแบบหน่ึงของการกีดกันทางเพศในอาชีพคือการเลือกปฏิบัติด้านค่าจ้าง ในพ. ศ. 2551 องค์การเพื่อ
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจแลเการพัฒนา (OECD) พบว่าในขณเที่อัตราการจ้างงานของผู้หญิงมีการขยายตัวแลเ
การจ้างงานดา้ นเพศแลเความเหลือมล้าในค่าจ้างลดลงเกือบทุกท่ี แต่โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงยังมีโอกาสน้อยกว่าที่จเ
ถูกจา้ งงานอยู่ 20% แลเไดร้ บั คา่ จ้างน้อยกว่าผู้ชายอยู่ 17% นอกจากน้ียังพบว่า แม้ปรเเทศในกลุ่ม OECD เกือบ
ทกุ ปรเเทศรวมทง้ั สหรัฐฯ ไดจ้ ดั ตง้ั กฎหมายต่อตา้ นการเลือกปฏิบัติ กฎหมายเหล่าน้ีกย็ ากทจ่ี เบงั คับใช้

ความเหลือมลา้ ในการจ้างงาน

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า มารดาในสหรัฐฯมีโอกาสน้อยกว่าท่ีจเได้รับการว่าจ้างเมื่อเทียบกับเป็นบิดาที่มี
คุณสมบัติเท่าเทียมกันแลเถ้าได้รับการว่าจ้างจเได้รับเงินเดือนต่ากว่าผู้สมัครชายที่มีบุตร การศึกษาโดยใช้
นักศึกษารเดับบัณฑติ ศึกษาทม่ี ีคณุ วุฒิรเดับปานกลางพบว่า นักศึกษาชายมีแนวโน้มที่จเได้รับการว่าจ้างมากกว่า
มเี งนิ เดอื นท่ดี กี วา่ แลเยังไดร้ บั คาปรกึ ษามากวา่

ความเหลอื มลา้ ในค่าจ้าง

การศึกษาทั่วโลกสรุปได้ว่าผู้หญิงโดยเฉลี่ยมีรายได้ต่ากว่าผู้ชาย บางคนแย้งว่าน่ีเป็นผลมาจากการเลือก
ปฏบิ ัตทิ างเพศอย่างกว้างขวางในท่ีทางาน คนอ่ืน ๆ แย้งว่าช่องว่างค่าจ้างเป็นผลมาจากทางเลือกที่แตกต่างกันท้ัง
ชายแลเหญิง เช่น ผู้หญิงให้คุณค่ามากกว่าผู้ชายในการมีบุตรแลเผู้ชายมักจเเลือกอาชีพได้เงินดี เช่น ธุรกิจ
วิศวกรรม แลเเทคโนโลยี Eurostat พบว่ามีช่องว่างการจ่ายค่าจ้างโดยเฉลี่ย 27.5% ใน 27 รัฐสมาชิกสหภาพ
ยุโรปในปี พ. ศ. 2551 ในทานองเดียวกันโออีซีดีพบว่าผู้หญิงท่ีเป็นพนักงานเต็มเวลาได้รับน้อยค่าจ้างน้อยกว่า
ผ้ชู าย 27% ในปรเเทศโออซี ีดี ในปพี . ศ. 2552 ในสหรัฐอเมรกิ าอัตราสว่ นรายไดข้ องผู้หญิงต่อชายอยู่ท่ี 0.77 ในปี
2552 หญงิ ทีเ่ ป็นพนักงานเต็มเวลาตลอดทง้ั ปี มีรายได้เพียง 77% ของคนงานชาย เมื่อ Equal Pay Act ได้รับการ
อนมุ ตั ใิ นปี พ. ศ. 2506 แรงงานทที่ างานเตม็ เวลาหญิงได้รับคา่ จ้างเทา่ กับ 48.9% ของพนักงานชายเตม็ เวลา

การกดี กนั คนขา้ มเพศ

คนข้ามเพศตา่ งโดนกีดกันแลเถูกคุกคามในที่ทางาน ต่างจากการกีดกันทางเพศ การปฏิเสธการว่าจ้างหรือ
ไลพ่ นักงานออกเพราเอัตลักษณท์ างเพศไมผ่ ิดกฎหมายในหลายรัฐของสหรัฐ

มคี วามเหน็ รว่ มกนั อยา่ งชดั เจนแลเกว้างในหมูน่ กั วชิ าการในสาขาตา่ งๆที่เก่ยี วกบั เร่ืองเพศ ซงึ่ หมายถึงการ
เลือกปฏิบตั ติ ่อสตรีแลเมีผลตอ่ ผหู้ ญงิ เป็นหลัก ดตู ัวอย่างเช่น

 "Sexism". New Oxford American Dictionary (3 ed.). Oxford University Press.
2010. ISBN 9780199891535. Defines sexism as "prejudice, stereotyping, or discrimination,
typically against women, on the basis of sex".

 "Sexism". Encyclopædia Britannica, Online Academic Edition. 2015. Defines sexism as
"prejudice or discrimination based on sex or gender, especially against women and girls".
Notes that "sexism in a society is most commonly applied against women and girls. It
functions to maintain patriarchy, or male domination, through ideological and material
practices of individuals, collectives, and institutions that oppress women and girls on the
basis of sex or gender."

 Cudd, Ann E.; Jones, Leslie E. (2005). "Sexism". A Companion to Applied Ethics. London:
Blackwell. Notes that "'Sexism' refers to a historically and globally pervasive form of
oppression against women."

 Masequesmay,Gina(2008). "Sexism". ใน O'Brien, Jodi (ed.). Encyclopedia of Gender and
Society. SAGE. Notes that "sexism usually refers to prejudice or discrimination based on
sex or gender, especially against women and girls". Also states that "sexism is an ideology
or practices that maintain patriarchy or male domination".

 Hornsby, Jennifer (2005). "Sexism". ใน Honderich, Ted (ed.). The Oxford Companion to
Philosophy (2 ed.). Oxford. Defines sexism as "thought or practice which may permeate
language and which assumes women's inferiority to men".

 "Sexism". Collins Dictionary of Sociology. Harper Collins. 2006. Defines sexism as "any
devaluation or denigration of women or men, but particularly women, which is embodied
in institutions and social relationships."

 "Sexism". Palgrave MacMillan Dictionary of Political Thought. Palgrave MacMillan.
2007. Notes that "either sex may be the object of sexist attitudes... however, it is
commonly held that, in developed societies, women have been the usual victims".

 "Sexism". The Greenwood Encyclopedia of Love, Courtship, and Sexuality through History,
Volume 6: The Modern World. Greenwood. 2007. "Sexism is any act, attitude, or
institutional configuration that systematically subordinates or devalues women. Built
upon the belief that men and women are constitutionally different, sexism takes these
differences as indications that men are inherently superior to women, which then is used
to justify the nearly universal dominance of men in social and familial relationships, as
well as politics, religion, language, law, and economics."

 Foster, Carly Hayden (2011). "Sexism". ใน Kurlan, George Thomas (ed.). The Encyclopedia
of Political Science. CQ Press. ISBN 9781608712434. Notes that "both men and women
can experience sexism, but sexism against women is more pervasive".

 Johnson, Allan G. (2000). "Sexism". The Blackwell Dictionary of Sociology.
Blackwell. Suggests that "the key test of whether something is sexist... lies in its
consequences: if it supports male privilege, then it is by definition sexist. I specify 'male
privilege' because in every known society where gender inequality exists, males are
privileged over females."

 Lorber, Judith (2011). Gender Inequality: Feminist Theories and Politics. Oxford University
Press. p. 5. Notes that "although we speak of gender inequality, it is usually women who
are disadvantaged relative to similarly situated men".

 Wortman, Camille B.; Loftus, Elizabeth S.; Weaver, Charles A (1999). Psychology. McGraw-
Hill. "As throughout history, today women are the primary victims of sexism, prejudice
directed at one sex, even in the United States."
ความสาคญั ของความเสมอภาคทางเพศ

ในปจั จบุ นั บทบาททางเพศรเหวา่ งผู้ชายแลเผู้หญิงในสงั คมเปลีย่ นแปลงไปจาก เดมิ โดยเฉพาเใน
สังคมไทย ซ่ึงแต่เดิมนน้ั มองบทบาททางเพศของผชู้ ายวา่ อยู่ในฐานเ “ ชา้ งเท้าหนา้ ” แลเมองบทบาททาง
เพศของผ้หู ญงิ วา่ อยใู่ นฐานเ “ ช้างเทา้ หลงั ” อาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยแตเ่ ดิมนนั้ กาหนดความเสมอภาคทาง
เพศโดยเฉพาเปรเเด็นในเร่ืองของการแสดงออกทางเพศอยา่ งไม่ค่อยเท่าเทียมกนั นักเม่ือ วฒั นธรรมตเวันตก
เข้ามาเผยแพร่ คา่ นิยมหลายอยา่ งของเราก็ได้มีการปรับปรุงใหส้ อดคล้องกับความเป็นสากลซ่งึ เรอ่ื งความเสมอ
ภาคทางเพศก็เปน็ อีกเร่อื งหนึ่งท่มี กี ารเรยี กรอ้ งใหม้ ีการแก้ไข แลเกส็ ามารถดาเนินการปรบั ปรุงแก้ไขดา้ นใน
หลายปรเเดน็

ดังนั้น ความเสมอภาคทางเพศ จึงหมายถึง การที่เพศชายแลเเพศหญิงมีสิทธิแลเ เสรีภาพในการแสดง
บทบาทของตนเองตอ่ สังคมได้อยา่ งเท่าเทยี มกนั

แตใ่ นความเปน็ จรงิ สังคมไทย ยอมรบั กลมุ่ คนเหลา่ นจี้ รงิ หรอื ?

นิด้าโพล ซึ่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ทาการสารวจความคิดเห็นของปรเชาชน เรื่อง “สังคมไทย
คิดอย่างไรกับเพศท่ี 3” รเหว่างวันที่ 15-16 พ.ค. 56 จากปรเชาชนทั่วปรเเทศ ทุกภูมิภาคของไทย พบว่า
ปรเชาชนส่วนใหญ่ ร้อยลเ 88.5 ยอมรับได้ หากมีเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานเป็นเพศที่ 3 มีเพียงร้อยลเ 8.8
เท่าน้นั ที่ตอบวา่ ไม่สามารถยอมรบั ได้เพราเเป็นการฝืนธรรมชาติ สง่ ผลต่อภาพลกั ษณ์ขององค์กร

แต่ถา้ หากมีสมาชิกหรือคนในครอบครัวเป็นเพศท่ี 3 น้ัน ปรเชาชนส่วนใหญ่ ร้อยลเ 77.6 ยอมรับได้ ในขณเ
ที่ร้อยลเ 17.3 ไม่สามารถยอมรับได้ เพราเผิดกฎธรรมชาติ ยังต้องการผู้สืบทอดสกุล แลเเพศท่ี 3 มีพฤติกรรม
บางอย่างสเดดุ ตาผู้คน ทาให้ทาใจยอมรบั ไมไ่ ด้

ถึงแม้วา่ กล่มุ คนทมี่ คี วามหลากหลายทางเพศ จเสามารถเข้ามามีบทบาททางสังคมได้มากขึ้น แต่ก็ยังเป็นเพียง
แคส่ ว่ นหนึ่งเท่าน้นั

ส่ือสาธารณเมักให้ภาพคนเหล่านี้เป็นตัวปรเกอบ ตัวตลก ผู้ร้าย หรือมักส่ือว่าคนเหล่าน้ีมีความบกพร่องทาง
จิต ที่สเท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของสังคมไทยต่อกลุ่มคนเหล่าน้ี แม้จเดูเหมือนว่าสังคมเปิดกว้าง แต่ก็ไม่ได้
ยอมรบั วา่ คนเหล่านเ้ี ป็นคนปกติ เหมือนกับปรเชากรคนอน่ื ๆ ทน่ี ยิ ามวา่ ตนเองเปน็ “หญงิ ” หรือ “ชาย”

สังคมไทยมักใช้คาว่า “เบีย่ งเบนทางเพศ” ในการเรยี กคนทไ่ี ม่ปฏิบตั ิตามแบบแผนหรือบทบาททางเพศที่สังคม
ได้กาหนด ส่ือถึงความบกพร่อง ไม่ปกติ การมองกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในลักษณเดังกล่าวน้ัน บ่ม
เพาเให้เกดิ อคตแิ ลเความรุนแรงท่ีแอบแฝงอยใู่ นสังคม หลายคนยงั ถูกดถู ูก เหยยี ดหยาม แลเไม่ได้รับสิทธิท่ีเขาพึง
จเได้รบั

จากการวิจัยของอาจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร อาจารย์ปรเจาภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณเ
แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งสารวจความหลากหลายทางเพศของเด็กมัธยม 2,700 คน จากโรงเรียน 5
แห่งในกรุงเทพฯ พบว่ามีเด็กวัยรุ่นท่ีคิดว่าว่าตัวเองมีความหลากหลายทางเพศร้อยลเ 11 ซ่ึงในร้อยลเ 11 นั้น
ส่วนมากไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพศไหน มีพ่อแม่จานวนหน่ึงซึ่งมีลูกที่มีความหลากหลายทางเพศ ส่งลูกไปพบแพทย์
เพื่อให้แพทยแ์ กไ้ ข “ความเบยี่ งเบนทางเพศ” ของเด็กเหลา่ น้ใี ห้กลบั มาเป็น “ปกต”ิ ดังเดมิ

อย่างไรกต็ าม จากงานวิจยั ขา้ งต้นพบวา่ หากพอ่ แมย่ อมรบั ความหลากหลายทางเพศของเด็ก จเส่งผลให้เด็กมี
ผลการเรียนดีขึ้น มีความสุขมากกว่า ตกอยู่ในภาวเซึมเศร้าน้อยกว่า แลเคิดฆ่าตัวตายน้อยกว่าอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติ ในทางกลับกันความพยายามท่ีจเแก้ไขอัตลักษณ์ทางเพศนั้นกลับเป็นผลเสียแลเอาจนามาสู่ปัญหาอื่นๆ
ตามมา

ปัจจุบัน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในปรเเทศไทยได้มีการเคลื่อนไหวผลักดันให้เกิด พ.ร.บ. คู่ชีวิตข้ึน ซึ่งเป็น
พ.ร.บ. ทจ่ี เรับรองสิทธิให้กับคทู่ ีจ่ ดทเเบยี นภายใต้ พ.ร.บ.น้ี ในการแบ่งสมบตั ิเมื่อหย่าร้าง รับรองสิทธิในการเย่ียม
คู่ชีวิตของตนเมอ่ื เกดิ อบุ ตั เิ หตุหรือเจบ็ ปุวย หรือเปน็ ผู้รบั สมบัตขิ องคู่ชีวิตท่ีเสียชวี ิตไป เป็นต้น เนื่องจากพบว่า คู่รัก
ร่วมเพศหลายคู่ทแ่ี มว้ ่าจเใช้ชีวิตร่วมกนั มานานนับสบิ ปี แต่กลบั ไมไ่ ดร้ บั สมบตั ทิ ่ีรว่ มหามาด้วยกันเม่ือตอนท่ีคู่ครอง
มชี วี ิตอยู่ โดยสมบตั ิเหล่านน้ั ต้องตกทอดไปให้ญาติของผเู้ สยี ชีวิต เน่ืองจากไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิแลเสถานภาพ
ของคชู่ วี ิต บางคนไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตให้เฝูาไขค้ ูช่ ีวิตของตนซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากไม่ใช่สามีภรรยา
หรือญาติ จเเห็นได้ว่ากลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทางเพศยังถูกจากัดสิทธิทางกฎหมายในหลายๆ ด้านแม้
สังคมไทยจเเปิดกว้างกับกลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทางเพศ แต่การเปิดกว้างนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จเทาให้กลุ่ม
คนเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขแลเเท่าเทียมกับคนท่ัวไป หรือได้รับสิทธิเท่าเทียมกับ
ปรเชาชนคนอน่ื ๆ นอกจากนั้นคนบางสว่ นในสังคมยงั เหน็ ว่า กลมุ่ คนเหล่าน้ีมคี วามผดิ ปกติแลเต้องได้รับการแก้ไข
บางคนมีความรู้ ความสามารถ สามารถทาปรเโยชน์มากมายให้กับปรเเทศชาติ แต่ต้องกลับทนต่อการหยาม
เหยยี ดเนือ่ งจากเพศสภาพของตน

ความเสมอภาคทางเพศ สังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่ผู้คนดาเนินไปตามแบบวัฒนธรรมตเวันตกมากขึ้น ทาให้
บทบาทของชายหญิงได้รับ การมองว่าต้องมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่งสังคมไทยก็เปิดกว้างยอมรับค่านิยม
แบบสากลน้ี ความสาคัญของความเสมอภาคทางเพศ ในปัจจุบันบทบาททางเพศรเหว่างผู้ชายแลเผู้หญิงในสังคม
เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ โดยเฉพาเสังคมไทย ซ่ึงแต่เดิมน้ันมองบทบาททางเพศของผู้ชายว่าอยู่ในฐานเ “ ช้างเท้า

หน้า ” แลเมองบทบาททางเพศของผู้หญิง ว่าอยู่ในฐานเ “ ช้างเท้าหลัง ” นั่นคือ ให้บทบาทของผู้ชายเป็นผู้นา
แลเบทบาทของผู้หญิงเป็นผู้ตามอาจกล่าวได้ ว่าสังคมไทยแต่เดิมนั้นกาหนดความเสมอภาคทางเพศโดยเฉพาเ
ปรเเด็นในเร่ืองของการแสดงออกทางเพศอย่างไม่ ค่อยเท่าเทียมกันนัก เม่ือวัฒนธรรมตเวันตกเข้ามาเผยแพร่
คา่ นยิ มหลายอยา่ งของเรากไ็ ดม้ กี ารปรับปรุงท่มี ีความ เป็นสากลซ่งึ เรอ่ื งความเสมอภาคทางเพศก็เป็นอีกเร่ืองหนึ่งที่
มกี ารเรียกรอ้ งใหม้ ีการแก้ไข แลเกส็ ามารถดาเนินการ ปรับปรุงแก้ไขด้านในหลายปรเเด็น ดังน้ัน ความเสมอภาค
ทางเพศ จึงหมายถึง การที่เพศชายแลเเพศหญิงมีสิทธิแลเเสรีภาพในการแสดง บทบาทของตนเองต่อสังคมได้
อย่างเท่าเทียมกัน แต่ต้องอยู่ภายในกรอบท่ีเหมาเสมของด้านวัฒนธรรมที่ดีงามของ สังคมไทย ในปัจจุบัน
สังคมไทยให้ความ สาคัญกับเรื่อง ความเสมอภาคทางเพศมากข้ึน โดยมองบทบาททางเพศ ของชายแลเหญิงว่ามี
รเดับที่เท่าเทียมกัน ไม่มีการกีดกันทางเพศ ดังนั้น ความสาคัญของความเสมอภาคทางเพศ จึงข้ึนอยู่กับความ
เข้าใจในบทบาททางเพศแลเการมี สมั พันธภาพท่ีเหมาเสมรเหว่างชายหญิง โดยวัยรุ่นจเรู้สึกอ่อนไหวกับคาพูดที่
เกี่ยวข้องกับบทบาททางเพศของ ตนเองมากขึ้น โดยวัยรุ่นจเเลียนแบบพฤติกรรมซ่ึงเป็นบทบาททางเพศจาก
บุคคลที่ใกล้ชิดกับตัว เอง กล่าวคือ วัยรุ่น ชายจเเลียนแบบจากพ่อ พ่ีชาย หรือญาติชายที่ใกล้ชิด ในขณเที่วัยรุ่น
หญิงก็จเเลียนแบบจากแม่ พ่ีสาว หรือญาติ สาวที่สนิท การวางตัวต่อเพศตรงข้าม การวางตัวต่อเพศตรงข้าม
หมายถึง การที่เพศชายแลเเพศหญิงปรเพฤติปฏิบัติต่อกันแลเกัน เพื่อสร้าง สัมพันธภาพอันดีรเหว่างกัน ซึ่งใน
ท่ีนี้จเขอน าเสนอแนวทางในการวางตัวต่อเพศตรงข้ามในสองสถานภาพ คือ ใน ฐานเเพ่ือนแลเในฐานเคู่รัก 1.
การวางตวั ต่อเพศตรงขา้ มในฐานเเพือ่ น เมือ่ ชายหญิงคบกันในฐานเเพื่อน เราควรปฏิบัติตนต่อเพศ ตรงข้ามทั้งใน
ด้านการพูด การแสดงกิริยา แลเการปรเ พฤติตัวด้านอื่นๆ ในลักษณเท่ีให้เกียรติซึ่งกันแลเกัน 2. การวางตัวต่อ
เพศตรงข้ามในฐานเคู่รัก เม่ือชายหญิงมีความสัมพันธ์กันในฐานเคู่รัก ควรหาโอกาส ได้เรียนรู้อุปนิสัย ความ
ต้องการ ค่านิยม แลเความสนใจของกันแลเกัน เพ่ือให้ความสัมพันธ์รเหว่างเพศตรงข้าม ในฐานเคู่รักได้พัฒนา
ไปสฐู่ านเคู่สมรสอนงึ่ ในวยั หน่มุ สาว เพศชายแลเเพศหญิงจเมีแรงขับทางเพศมาก ซ่ึงเป็น ไปตามธรรมชาติความ
ใกล้ชิดกันมากเกินไป อาจน าไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรได้ ปัญหาทางเพศ ปัญหาหนึ่งที่เกิดข้ึนในชีวิต
ของหลายๆคนก็คือปัญหาทางเพศซึ่งมีอยู่หลายลักษณเไม่ว่าจเเป็นความคิด สับสนต่างๆ การมีความรักใคร่ชอบ
พอคู่รักที่เป็นเพศเดียวกับตน เป็นต้น 1. ลักษณเปัญหาทางเพศ สถานภาพทางเพศเป็นสิ่งท่ีติดตัวทุกคนมาต้ังแต่
กาเนิด สถานภาพทางเพศก็อาจจเมิใช่ปัจจัยกาหนด ความเป็นชายเป็นหญิงได้อย่างแท้จริงท้ังหมด เน่ืองจาก
บุคคลบางกลุ่มอาจเกดิ การเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งสามารถ จาแนกลักษณเปัญหาทางเพศได้ ดังน้ี 1. ความสับสนใน
ความเป็นชายหญิง จเเร่ิมต้นในวัยเด็ก โดยเด็กผู้ชายอายุ 3-6 ปีบางคนชอบเล่น ตุ๊กตา ชอบแสดงท่าทางคล้าย
ผู้หญิง แต่พออายุ 12-13 ปี ความรู้สึกแลเการแสดงออกอย่างน้ีอาจหายไปเลย 2. ความเบี่ยงเบนทางเพศ (
Sexual Deviations ) คือ กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมทางเพศผิดปกติ ซ่ึง แบ่งได้ 3 ปรเเภท ดังนี้ 2.1 ) ปฏิเสธเพศ (
Transexual ) คือ ผู้ท่ีไม่พอใจแลเไม่ยอมรับในเพศที่แท้จริงที่มีมากาเนิด รวมท้ังมีความเชื่อว่าเพศท่ีปรากฏทาง
รา่ งกายของตนไมถ่ ูกต้อง สว่ นใหญม่ กั เกิดข้ึนกบั เพศชายโดยชายเหลา่ น้ีจเมี ลักษณเท่าทางการแสดงออกเป็นเพศ
หญิง 2.2) รักร่วมเพศ ( Homosexual ) คือ ผู้ท่ีมีความพึงพอใจท่ีจเมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันได้แก่ ชายรัก
ชาย แลเหญงิ รกั หญิง 1) ชายรกั ชาย หรอื เกย์ ( Gay ) แบง่ เปน็ 2 ปรเเภท ไดแ้ ก่ เกยค์ ิง หมายถึง ผู้ที่แสดงบทบา
ทาง เพศเป็นชายหรือฝายกรเทาเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ส่วนอีกปรเเภทหน่ึง คือ เกย์ควีน หมายถึง ผู้ที่แสดงบทบาท
ในทาง เพศเป็นหญิงหรือฝุายถูกกรเทาเม่ือมีเพศสัมพันธ์ 2) หญิงรักหญิง หรือเลสเบี้ยน ( Lesbian ) คนไทยมีคา
เรียกดง้ั เดมิ ว่า อญั จารี แบง่ ออกเปน็ 2 ปรเเภท คือ ทอม หมายถึง การแสดงออกภายนอกมีลักษณเภายนอกเป็น

ชาย ส่วนอีกปรเเภทหนึ่ง คือ ด้ีซ่ึงนั่น หมายถึง การแสดงออกภายนอกจเมีลักษณเเป็นหญิง 2.3) รักสองเพศ (
Bisexuality ) หมายถึง ผู้ที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งกับเพศชายแลเเพศ หญิง ภาษาชาวบ้านนิยมเรียกว่า เสือ
ไบ หรือพวกกรเแสสลับ แนวทางการแก้ไขปัญหาทางเพศ เพื่อให้เด็กมีพฤติกรรมทางเพศท่ีถูกต้อง พ่อแม่
ผู้ปกครอง จึงควรให้ การดูแลเดก็ ดังน้ี 1. พอ่ แมต่ ้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก เพราเหากพ่อแม่แสดงบทบาททาง
เพศไม่ เหมาเสม จเ ทาให้ลูกเกิดความเบี่ยงเบนทางเพศได้ 2. สนับสนุนให้วัยรุ่นทั้งเพศชายแลเหญิงแสดง
เอกลักษณ์ทางเพศของตนเองให้ถูกต้องแลเมีต้อง เหมาเสม 3. สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทางเพศตามท่ี
สังคมไทยแลเกรอบของความขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมไทยได้กาหนดไว้พร้อมทั้งมีการส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่า
แลเความสาคัญของความเป็นเพศชายแลเเพศ หญิง โดยอาจให้คาแนเนาแลเเสนอแนเกับเด็กท่ีเป็นวัยรุ่น ดังน้ี
3.1 ยอมรับตนเอง โดยค้นหาแลเทาความรู้จักตนเองให้ได้ว่าตนเองคือใคร เป็นเพศชายหรือหญิง 3.2 เข้าใจ
ธรรมชาติว่า เมื่อเกิดมาเป็นเพศชายหรือเพศหญิงแล้ว จเไม่สามารถเปลี่ยน แปลงได้ 3.3 ภาคภูมิใจในเพศของ
ตนเองแลเเห็นอกเห็นใจเพื่อนท่ีมีพฤติกรรมเบ่ียงเบนทางเพศ 3.4 ส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้าน
เพศศึกษา การสารวจตรรกเความคิดในเรื่องของความเสมอภาคทางเพศในปัจจุบัน ความเท่าเทียมทางเพศ จาก
สถิติ ข้อมูลหลายด้านของปรเเทศไทยก็ย้อนแย้งขัดกันไปมาในด้านการศึกษา ปัจจุบันมีผู้หญิงเข้าเรียนใน
รเดับอุดมศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอกมากกว่าผู้ชาย เฉพาเในรเดับปริญญา ตรี ปีการศึกษา 2561
จานวนนักศึกษา100 คน จเมีนักศึกษาหญิงอยู่ 60 คน แลเนักศึกษาชาย 40 คน หรือมี ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง
ร้อยลเ 20เมื่อดูสาขาวิชาที่เรียนจเพบว่านักศึกษาหญิงส่วนใหญ่กรเจุกตัวอยู่ในสาขาวิชา ด้านสังคมศาสตร์แลเ
มนษุ ยศาสตร์ แต่ในกลมุ่ วิชาด้านวิทยาศาสตร์แลเเทคโนโลยี เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศแลเการ
ส่ือสาร ซ่ึงเป็นสาขาท่ีจเสร้างโอกาสทางอาชีพได้มากกว่า กลับมีนักศึกษาหญิงน้อย กว่าชาย คือจากนักศึกษา
สาขาวิทยาศาสตร์แลเเทคโนโลยี 100 คน จเมีนักศึกษาชาย 54 คน แลเหญิง 46 คน หรือผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย
อยู่ร้อยลเแปด ข้อมูลข้างต้นสเท้อนว่า แม้โอกาสทางการศึกษารเหว่างหญิงกับชายจเค่อนข้างเท่าเทียมกันแล้ว
แต่ ทางเลือกอาชีพของคนในสังคมยงั ถกู กากบั ด้วยวถิ ีการแบง่ บทบาทหญิงชายตามค่านิยมเดิมๆ อยู่ไม่น้อย อาชีพ
ที่ เกีย่ วขอ้ งกบั เทคโนโลยสี มัยใหม่ เช่น วิศวกรรม การส่ือสาร รวมถึงปัญญาปรเดิษฐ์ (artificial intelligence) จึง
ยัง ถูกมองว่าเป็นอาชีพท่ีเหมาเกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเฉพาเในเร่ืองของความรู้แลเอาชีพด้าน เทคโนโลยี
แนวโน้ม ของปรเเทศไทยดจู เไมแ่ ตกตา่ งจากภาพรวมรเดับโลกมากนัก รายงานเรื่องช่องว่างด้านเพศสภาพรเดับ
โลก ปรเจาปี 2561 ของเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) รเบุว่า สัดส่วนของนักวิชาชีพด้าน
ปัญญาปรเดษิ ฐ์ทีเ่ ป็นผูช้ ายยงั นาล่ิวท้ิงหา่ งผู้หญิง โดยทั่วโลกขณเน้ีมีผู้ชายท่ีทางานด้านปัญญาปรเดิษฐ์อยู่ร้อยลเ
78 แลเมีผู้หญิงเพียงร้อยลเ 22 เมื่อหันไปมองตลาดแรงงาน งานศึกษาของสถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาปรเเทศ
ไทย (ทีดีอาร์ไอ) รเบุว่า ปัจจุบันแม้ จเมีผู้ชายทางานหารายได้นอกบ้านมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงท่ีทางานนอก
บา้ นมรี เดับการศึกษาโดยเฉล่ียสูงกว่า ผู้ชาย สอดคล้องกับข้อมูลด้านการศึกษาข้างต้น แต่เมื่อดูอัตราการว่างงาน
ของคนที่เรียนจบปริญญาตรีในช่วงปี 2550-2559 ผู้หญิงกลับมีอัตราว่างงานสูงกว่าผู้ชาย กล่าวคือ ในจานวนคน
จบปริญญาตรี 100 คน จเมีผู้ชาย ว่างงาน 2 คน แลเมีผู้หญิงว่างงาน 2.2 คนสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราเบาง
สาขาวชิ าท่ีผูห้ ญงิ เลอื กเรยี นไม่ตอบ โจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานปัจจุบัน แต่สาเหตุอีกส่วนหน่ึงน่าจเเกิด
จากมุมมองของผู้ว่าจ้างใน ตลาดแรงงาน ท่ีมองว่าแรงงานหญงิ ในวยั ทกี่ าลงั สรา้ งครอบครัวแลเมีบุตรจเไม่สามารถ
ทุ่มเทให้กับการปรเกอบ อาชีพนอกบ้านได้เท่าแรงงานชาย แลเสิทธิที่กฎหมายกาหนดให้แรงงานหญิงลาคลอด
บุตรได้นานสามเดือนโดย ได้รับค่าจ้าง กลับถูกนายจ้างมองว่าเป็นภารเต่อต้นทุนของสถานปรเกอบการ ท่ีสาคัญ

งานศึกษาของทีดีอาร์ไอ รเบุว่า “แม้ว่าหญิงจเมีการลงทุนเพ่ือการศึกษาแลเมีปรเสบการณ์ในการทางานท่ีดีข้ึน
แล้วก็ตาม หญิงโดยเฉลี่ยก็ ยังคงได้รับค่าจ้างต่ากว่าชาย” โดยผู้หญิงได้รับค่าจ้างเฉลี่ยต่ากว่าผู้ชายในทุกรเดับ
การศึกษา ขอ้ มลู ปี 2560 รเบวุ ่า เมอื่ เทยี บรเหว่างผู้หญิงกับผู้ชายที่เรียนจบปริญญาตรีเท่ากัน ผู้หญิงได้รับค่าจ้าง
เฉล่ียน้อยกว่าผู้ชายเป็นเงินถึง 5,000 บาท/เดือน นอกจากสถิติท่ียกมา ปรเเทศไทยยังเผชิญกับสถานการณ์อื่นท่ี
ตอกยา้ ความไม่เทา่ เทียมทางอาชีพของ ผหู้ ญิง ตน้ เดอื นกันยายน 2561 สานักงานตารวจแห่งชาติของไทยปรเกาศ
ยกเลิกไม่รับผู้หญิงเข้าเรียนในโรงเรียน นายร้อยตารวจ ทั้งท่ีในช่วง 10 ปีก่อนหน้าน้ีโรงเรียนนายร้อยแห่งนี้ได้
เปดิ รับผู้หญิงให้สอบแข่งขันเข้าเรยี นมาโดย ตลอด จนสามารถผลติ นายรอ้ ยตารวจหญิงหลายร้อยคนทาหน้าท่ีดูแล
คดีเกี่ยวกับเยาวชน ครอบครัว ความรุนแรง ทางเพศ แลเการค้ามนุษย์ โดยสานักงานตารวจแห่งชาติให้เหตุผล
ของการยกเลิกรับผู้หญิง เพียงเพ่ือให้เป็นการ ปฏิบัติเหมือนเหล่าทัพอ่ืนท่ีไม่เคยรับผู้หญิงเข้าเรียนเป็นนายร้อย
การมีจติ ใจเปดิ กว้าให้ทางดา้ นเพศท่ีสาม ในความเป็นจริง สังคมไทย ยอมรับกลุ่มคนเหล่านี้จริงหรือ? “นิด้าโพล ”
ซึ่งสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ทาการสารวจความคิดเห็นของปรเชาชน เรื่อง “สังคมไทยคิด
อย่างไรกับเพศท่ี 3” รเหว่างวันที่ 15-16 พ.ค. 56 จากปรเชาชนท่ัวปรเเทศ ทุกภูมิภาคของ ไทย พบว่า
ปรเชาชนส่วนใหญ่ ร้อยลเ 88.5 ยอมรับได้ หากมีเพื่อน หรือเพ่ือนร่วมงานเป็นเพศที่ 3 มีเพียงร้อยลเ 8.8
เท่านั้น ท่ีตอบว่าไม่สามารถยอมรับได้เพราเเป็นการฝืนธรรมชาติ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร แต่ถ้าหากมี
สมาชิกหรือคนในครอบครัวเป็นเพศที่ 3 นั้น ปรเชาชนส่วนใหญ่ ร้อยลเ 77.6 ยอมรับได้ ในขณเ ที่ร้อยลเ 17.3
ไม่สามารถยอมรบั ได้ เพราเผิดกฎธรรมชาติ ยังตอ้ งการผ้สู บื ทอดสกุล แลเเพศที่ 3 มีพฤตกิ รรม บางอย่างสเดุดตา
ผู้คน ทาให้ทาใจยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ว่ากลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทางเพศ จเสามารถเข้ามามีบทบาททางสังคม
ได้มากข้ึน แต่ก็ยังเป็นเพียง แค่ส่วนหน่ึงเท่าน้ัน สื่อสาธารณเมักให้ภาพคนเหล่าน้ีเป็นตัวปรเกอบ ตัวตลก ผู้ร้าย
หรอื มักสอ่ื ว่าคนเหล่านี้มีความบกพร่องทาง จติ ทสี่ เทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความเข้าใจของสังคมไทยต่อกลุ่มคนเหล่านี้ แม้
จเดูเหมือนว่าสังคมเปิดกว้าง แต่ก็ไม่ได้ ยอมรับว่าคนเหล่าน้ีเป็นคนปกติ เหมือนกับปรเชากรคนอ่ืนๆ ที่นิยามว่า
ตนเองเป็น “หญิง” หรือ “ชาย” สังคมไทยมักใช้คาว่า “เบ่ียงเบนทางเพศ” ในการเรียกคนท่ีไม่ปฏิบัติตามแบบ
แผนหรือบทบาททางเพศทสี่ งั คม ได้กาหนด สื่อถงึ ความบกพรอ่ ง ไม่ปกติ การมองกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทาง
เพศในลักษณเดังกลา่ วน้นั บ่ม เพาเให้เกิดอคตแิ ลเความรุนแรงทีแ่ อบแฝงอยู่ในสังคม หลายคนยังถูกดูถูก เหยียด
หยาม แลเไม่ได้รับสิทธิที่เขาพึง จเได้รับ จากการวิจัยของอาจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร อาจารย์ปรเจา
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณเแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งสารวจความหลากหลายทางเพศของเด็ก
มัธยม 2,700 คน จากโรงเรียน 5 แห่งในกรุงเทพฯ พบว่า มีเด็กวัยรุ่นที่คิดว่าว่าตัวเองมีความหลากหลายทางเพศ
ร้อยลเ 11 ซ่ึงในร้อยลเ 11 น้ันส่วนมากไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นเพศไหน มีพ่อแม่จานวนหน่ึงซึ่งมีลูกท่ีมีความ
หลากหลายทางเพศ ส่งลกู ไปพบแพทย์เพ่อื ให้แพทยแ์ กไ้ ข“ความ เบ่ียงเบนทางเพศ” ของเด็กเหล่าน้ีให้กลับมาเป็น
“ปกติ” ดังเดิม อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยข้างต้นพบว่า หากพ่อแม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศของเด็ก จเ
ส่งผลให้เด็กมี ผลการเรียนดีขึ้น มีความสุขมากกว่า ตกอยู่ในภาวเซึมเศร้าน้อยกว่า แลเคิดฆ่าตัวตายน้อยกว่า
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ในทางกลับกันความพยายามที่จเแก้ไขอัตลักษณ์ทางเพศนั้นกลับเป็นผลเสียแลเอาจ
นามาสู่ปัญหาอ่ืนๆ ตามมา ปัจจุบัน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในปรเเทศไทยได้มีการเคล่ือนไหวผลักดันให้เกิด
พ.ร.บ. คู่ชีวิตขึ้น ซ่ึงเป็น พ.ร.บ. ที่จเรับรองสิทธิให้กับคู่ท่ีจดทเเบียนภายใต้ พ.ร.บ.น้ี ในการแบ่งสมบัติเมื่อหย่า
ร้าง รับรองสทิ ธิในการเย่ยี ม คชู่ วี ิตของตนเมอ่ื เกิดอบุ ตั ิเหตุหรือเจ็บปุวย หรือเป็นผู้รับสมบัติของคู่ชีวิตที่เสียชีวิตไป
เปน็ ตน้ เนื่องจากพบวา่ ครู่ กั รว่ มเพศหลายคู่ท่ีแม้ว่าจเใช้ชีวิตร่วมกันมานานนับสิบปี แต่กลับไม่ได้รับสมบัติท่ีร่วม

หามาด้วยกันเมื่อตอนที่คู่ครอง มีชีวิตอยู่ โดยสมบัติเหล่าน้ันต้องตกทอดไปให้ญาติของผู้เสียชีวิต เน่ืองจากไม่มี
กฎหมายรับรองสิทธิแลเสถานภาพ ของคู่ชีวิต บางคนไม่ได้รับอนุญาตให้เฝูาไข้คู่ชีวิตของตนซึ่งพักรักษาตัวอยู่ท่ี
โรงพยาบาล เนื่องจากไม่ใช่สามี ภรรยา หรือญาติ จเเห็นได้ว่ากลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทางเพศยังถูกจากัด
สทิ ธิทางกฎหมายในหลายๆ ด้าน แม้ในสังคมไทยจเเปิดกว้างกับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่การเปิด
กว้างน้ันก็ยังไม่เพียงพอท่ีจเทาให้ กลุ่มคนเหล่าน้ีสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขแลเเท่าเทียมกับคน
ท่ัวไป หรือได้รับสิ ทธิเท่าเทียมกับ ปรเชาชนคนอื่นๆ นอกจากน้ันคนบางส่วนในสังคมยังเห็นว่า กลุ่มคนเหล่านี้มี
ความผิดปกติแลเต้องได้รับการแก้ไข บางคนมีความรู้ ความสามารถ สามารถทาปรเโยชน์มากมายให้กับ
ปรเเทศชาติ แต่ต้องกลับทนต่อการหยาม เหยียดเนื่องจากเพศสภาพของตน สังคมไทยต้องทาความเข้าใจว่าอัต
ลกั ษณ์ทางเพศนัน้ มีความหลากหลาย แลเทุกคนๆ ไม่ว่าจเหญิง ชาย เกย์เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวลหรือคนข้ามเพศ ก็
ควรมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในฐานเมนุษย์คนหนึ่ง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเสมอภาค การ
ส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างแลเอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม เราตรเหนักดีว่าสังคมแลเสิ่งแวดล้อมในการท า
งานจเเติบโตแลเขบั เคลอ่ื นไปได้เม่อื ทกุ ฝุายมคี วามเขา้ ใจ เชอื่ มัน่ แลเใหเ้ กียรติซึ่งกันแลเกัน น่ีเป็นเหตุผลท่ีเราให้
ความสาคัญกับปรเเด็นความเสมอภาค แลเความหลากหลายของ ผู้คนในทุกมิติของงานท่ีเราทาเราวัด
ความก้าวหน้าของงานโดยใช้เคร่ืองมือชี้วัดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาเท่ีเราสร้าง ข้ึน เรียกว่า “กรอบการปรเเมิน
ความหลากหลาย” (Diversity Assessment Framework) บริติช เคานซิล สร้างโอกาสในรเดับนานาชาติเพื่อ
เช่ือมโยงผู้คนจากสหราชอาณาจักรกับปรเเทศอ่ืน ๆ ทั่วโลก แลเส่งเสริมการสร้างความเชื่อม่ันรเหว่างผู้คน
เหล่านัน้ ดังน้ัน การดาเนนิ งานทค่ี านึงถึงความหลากหลายของผู้คน อยา่ งมปี รเสิทธิภาพจึงเป็นส่วนสาคัญของงาน
เรา นโยบายการส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างแลเอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมเป็นหลักปฏิบัติที่ทาให้มั่นใจได้ว่า
จเไม่ มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรในการคัดเลือกบุคคลเข้าทางาน การรักษาพนักงานให้อยู่กับ
องค์การ การฝึกอบรม แลเการพฒั นาศกั ยภาพพนกั งาน โดยไม่เลือกปฏิบัติในความแตกต่างด้านอายุ ความทุพพล
ภาพ เพศ (รวมถึงผู้ท่ีผ่าตัดแปลงเพศ) สถานเการติดเช้ือเอชไอวี/โรคเอดส์ สถานภาพสมรส การสมรสรเหว่าง
บุคคลเพศ เดียวกัน การต้ังครรภ์แลเการลาคลอดบุตร ความคิดเห็นทางการเมือง เชื้อชาติ /เผ่าพันธุ์ ศาสนาแลเ
ความเช่ือ รสนิยมทางเพศ ภูมิหลังด้านเศรษฐกิจแลเสังคม ความผิดท่ีเคยกรเทาการเป็นสมาชิกหรือการเข้าร่วม
กิจกรรม เก่ียวกับสหภาพแรงงาน รูปแบบการทางาน การมีหรือไม่มีครอบ ครัว แลเปรเเด็นอ่ืน ๆ ท่ีไม่เกี่ยวข้อง
กับการ ทางาน เรามุ่งมั่นท่ีจเส่งเสริมแลเปฏิบัติตามกฏความเสมอภาคอย่างเคร่งครัด เราพยายามหลีกเลี่ยงการ
เลือกปฏิบัติโดย ไม่มีเหตุผลอันสมควร แลเตรเหนักดีว่าการกรเทาเช่นน้ันเป็นอุปสรรคในการดาเนินงานตาม

นโยบายความเสมอ ภาคทางโอกาส การมีสว่ นร่วม แลเสิทธมิ นษุ ยชน เราจเปฏิบัตติ ามหลกั ต่อไปนี้:  สร้างความ
เข้าใจ การเห็นคุณค่า แลเการปฏิบัติงานด้านความหลากหลายของผู้คน เพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมแลเการมีส่วน

ร่วมอย่างเต็มท่ีในงานของเรา  ทาให้มั่นใจได้ว่าจเไม่ มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรในการจ้างงาน

การคดั เลอื กบคุ คลเข้า ทางาน รวมถึงขน้ั ตอนอน่ื ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง  ส่งเสริมความเสมอภาคทางโอกาส รวมถึงการท
าแบบปรเเมินผลกรเทบ แลเการคัดกรองความเสมอภาค เชิงนโยบาย การทางาน แลเแผนการดาเนินงานด้าน

ความหลากหลาย  ปฏิบัติกับผู้ร่วมงานอย่างเท่าเทียม ให้เกียรติ แลเความเคารพ  ปฏิบัติหน้าที่ของเราเพื่อ
ขจัดการเลือกปฏิบัติ แลเอุปสรรค พร้อมท้ังสร้างความสมดุล ความเสมอภาคใน องค์การ พนักงานทุกคนต้อง
ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างแลเอยู่ร่วมกันอย่าง เท่าเทียม แลเเรา
สามารถให้ความมั่นใจได้ว่า ลูกค้า พันธมิตร แลเคู่ค้าของเรา มีความตรเหนัก แลเปฏิบัติตน สอดคล้องกับ

นโยบายดงั กลา่ ว เราจเทาการทบทวนนโยบายนท้ี ุก ๆ สามปี เพอ่ื ให้กฏหรอื หลกั ปฏบิ ตั มิ ีความ ทันสมัยแลเเป็นไป
ตามหลกั เกณฑท์ างกฏหมายท่ีอาจมีการเปล่ยี นแปลงหรอื พัฒนาขนึ้ งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง เร่ืองลัทธิกีดกันทางเพศใน
ความคิดของบุญศักด์ิ แสงรเวี (2549) ได้กล่าวว่า บูเช็คเทียนอยู่ในสมันศักดินา ท่ียึดถือขนบธรรมเนียมปรเเพณี
อยา่ งเขม้ งวดกวดขนั โดยเฉพาเอยา่ งย่งิ อานาจของผูช้ ายต้องอยเู่ หนือผู้หญิง ขงขอื้ จเเป็นนักคิดท่ีน่ายกย่อง แต่ต่อ
ผู้หญิงแล้ว ก็มีอคติอย่างรุนแรง เช่น ผู้หญิงจเต้องปรเกอบไปด้วย “3 เช่ือ ฟัง 4 คุณธรรม” คือยังไม่ออกเรือน
ตอ้ งเชอ่ื ฟังบิดา ออกเรอื นแล้วต้องเชอื่ ฟงั สามี สามีสนิ้ ชวี ติ แล้วตอ้ งเช่ือฟัง บตุ รชาย ต้องมีศีลธรรม พูดจาเรียบร้อย
กิริยามารยาทดี การฝีมือดี ไม่ให้คิดไม่ให้ทาอเไรนอกเหนือจากนี้ จากบูเช็คเทียนต่อต้านความไม่เป็นธรรมต่อ
ผู้หญิงอย่างสุดชีวิต ต่อต้านอิทธิพลไม่เป็นธรรมของอานาจผู้ชาย ต่อต้าน รอบปรเเพณีท่ีจเให้ผู้หญิงอยู่กับเหย้า
เฝูากบั เรือน แต่ต่อต้านกับขนบธรรมเนียมปรเเพณีต่างๆ อื่นๆ อีกมากท่ี มุ่งแต่จเบีบค้ันกดหัวผู้หญิงทุกอย่าง ทุก
วันนี้เรามักจเพูดเรื่อง สิทธิมนุษยชน แต่สิทธิมนุษยชนจเได้มาก็ด้วยการต่อสู้ ในอเมริกาที่ว่าเป็นแม่แบบสิทธิ
มนษุ ยชนของโลกน้นั ผู้หญงิ อเมริกาตอ้ งต่อสูเ้ ฉพาเเพอื่ สทิ ธกิ ารเลือกตงั้ ของตนอย่างต่อเน่อื งเหนียวแน่นมาช้านาน
จึงจเได้เม่ือปรเมาณ 20 กว่าปีน้ีเอง กล่าวในแล้วก็พูดได้ว่า “บูเช็คเทียนได้ต่อสู้เพ่ือสิทธิมนุษยชนของสตรีเพศ
อย่างทรนงองอาจเป็นคนแรกสุดของโลก นานมาแล้วแต่เมื่อกันกว่าปีก่อน” นักปรเวัติศาสตร์ โดยเฉพาเอย่างย่ิง
นักปรเวัตศาสตร์จีนโบราณเป็นผู้ชายท้ังหมด แลเเป็นลัทธิบุรุษเพสนิยม ไม่ เห็นความเป็นมนุษย์ของสตรีเพศอยู่
ในสายตา เห็นกแ็ ต่เป็นส่ิงสนองตณั หา เป็นผรู้ บั ใชข้ องผู้ชายเท่าน้นั ตอ่ บเู ช็ค เทียน ซ่ึงบังอาจท้าทายลบหลู่ไม่หวั่น
พร่ันพรึงอานาจของผู้ชายในฐานเเป็นบิดา เป็นสามี เป็นบุตรชาย ซึ่งผู้หญิง จเต่องข้ึนต่อตามค าสอนของขงจื้อ
จึงไม่อาจจเยอมให้ได้ ดังนั้น บูเช็คเทียนของพวกเขาจึงเป็นผู้หญิงเลวทรามต่ า ช้า แลเลเเลงสีให้จนกลายเป็น
หญิงกาลบี า้ นกาลีเมือง แลเถอื กนั เปน็ แบบน้ันเร่ือยมา จนถึงยุคจีนใหม่ที่ปรเชาชน เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ที่ผู้หญิงมี
ความเสมอภาคกับผู้ชายแล้ว สภาพความลาเอียงต่อบูเช็คเทียน จึงได้รับการแก้ไขให้ คืนสู่ความเป็นจริงตาม
ปรเวตั ิศาสตร์ ปรเธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง เคยกล่าวไว้ในโอกาสหน่ึงว่า “ผู้หญิงค้าฟไว้กึ่ง หน่ึง” ซ่ึงเป็นการให้เกีย
ตริแก่ผู้หญิงเต็มท่ี เคารพในศักด์ิศรีของผู้หญิงเต็มท่ี ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory) ทฤษฎีความเสมอ
ภาค หรือ ทฤษฎีความเทาเทียมกัน (Equity Theory) ถูกพัฒนาขึ้น โดย J. Stacy Adam (Bartol, Martin, Tein
& Matthews, 1998) โดยมีรากฐานอยู่ท่ี ความ เหมอื นของมนษุ ย์ (ชลิดาภรณสงสัมพันธ, 2550) ทฤษฎีน้ีกล่าววา
สถานการณท่ีคนงานจเเกิด 51 ความพึง พอใจขึ้นอยู่กับความสมดุลหรือความเป็นธรรมท่ีเกิดข้ึนเมื่อเขาไดรับรูวา
สัดสวนของ Inputs กับ Outcomes ท่ีเขา ไดรับ เทาเทียมกับสัดส่วนของ Inputs กับ Outcomes ของคนอ่ืน
ทั้งนเี้ พราเโดยปรกติมนุษย์ชอบที่จเ เปรียบเทียบ งานที่ตนเองทากับงานของผูอื่นอยู่เสมอความเสมอภาคมาจาก
พ้ืนฐานความคิดท่ีวาไมมีผู้ใดดอย กวาผูอื่นในโอกาสหรือสิทธิมนุษยชน (วิรเดา สมสวัสดิ์, 2549) ในด่านการ
สารวจตรรกเควาทคิดในเร่ืองความความเสมอภาคในศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ที่จเไม่ถูกกีดกัน เลือกปฏิบัติด้วย
สาเหตุ ทางเพศเป็นอุดมการณ์ของสังคมอารยเสมัยใหม่ที่องค์การสหปรเชาชาติได้รับรองไว้ใน ตราสารจัดตั้ง
องค์การเมื่อ พ .ศ. 2498 อุดมการณ์ดังกล่าว เร่ิมปรากฏในสังคมไทยทีลเเล็กทีลเน้อยเม่ือมีการ เปลี่ยนแปลง
การปกครองเข้าสู่สังคมในรเบอบปรเชาธิปไตยที่มีพรเมหากษัตริย์เป็นปรเมุขในปีพ .ศ. 2475 แลเ ปรากฏเป็น
หลักกฎหมายของบ้านเมืองที่ชัดเจนต้ังแต่การปรเกาศใช้รัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
เป็นต้นมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็น ฉบับปัจจุบัน โดย ได้รเบุไว้ใน
มาตรา 30 ว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายแลเได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชาย แลเหญิงมี
สิทธิเท่าเทียมกันไม่เพียงแต่จเเป็นหลักกฎหมายภายในท่ีได้รับ การสถาปนาข้ึนเป็นกฎหมายสูงสุดของ ปรเเทศ

เท่านั้น แต่ปรเเทศไทยยังได้ลงนามในพันธกรณีกับปรเชาคมโลก ในการที่จเเคารพแลเปฏิบัติตามหลัก ความ

เสมอภาครเหว่างหญิงชาย ด้วยการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาของสหปรเชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติ ต่อ
สตรีในทุกรูปแบบ (The Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against

Women - CEDAW) ในปีพ.ศ. 2528 รวมท้ังในปี พ.ศ. 2543 ปรเเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของ

อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Optional Protocol to the Convention on
the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women - OP CEDAW) การวิจัยท่ีเก่ียวข้องใน

ด้านการเปิดใจให้ทางด้านเพศท่ีสามซ่ึงผลวิจัยกล่าวว่าการวิจัยคร้ังน้ีมีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาการเปิดรับสื่อที่มี

เน้อื หาเก่ยี วกับกลุ่มหญงิ รักหญงิ ทัศนคติที่มตี ่อพฤติกรรมทาง สังคมของกลุ่มหญิงรัก หญิง แลเการแสดงออกทาง
สงั คมของกล่มุ หญงิ รักหญิง รเเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ คือ การวิจัยเชิงสารวจ กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้คือกลุ่ม

หญิงรักหญิงจา นวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวม ข้อมูลแลเเพื่อให้การศึกษา

ครั้งนี้ได้ข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้น ผู้วิจัยจึงใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เจาเลึก จากกลุ่มแกนนาเพ่ือหญิง
รักหญิงจานวน 4 คน ผลการวิจยั พบว่า กลมุ่ หญงิ รกั หญงิ สว่ นใหญม่ ีอายุ 20-29 ปีมี การศึกษาอยู่ในรเดับปริญญา

ตรแี ลเเปน็ พนักงานเอกชน มรี ายไดม้ ากกว่า 20,001 บาทข้นึ ไป ส่วนใหญ่มีการ เปิดรับสื่อปรเเภทภาพยนตร์มาก

ท่ีสุด แลเจาก การศึกษาลักษณเทางปรเชากรศาสตร์พบว่า รายได้แลเรเดับ การศึกษาของกลุ่มหญิงรักหญิงมี
ความสัมพันธ์กับการเปิดรับส่ือ ท่ีมีเนื้อหาเก่ียวกับหญิงรักหญิงอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่รเดับ .05 อายุแลเ

รเดับการศึกษาของกลุ่มหญิงรักหญิงมีความสัมพันธ์ กับทัศนคติต่อพฤติกรรมทาง สังคมของกลุ่มหญิงรักหญิง

อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่รเดบั .05 อาชพี ของกลุม่ หญงิ รกั หญงิ มีความสัมพนั ธ์กับ การแสดงออกทางสังคมของกลุ่มหญิงรักหญิง

อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติทรี่ เดับ .05 ในส่วนการเปิดรับส่ือ พบว่า การเปิดรับสื่อท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับหญิงรักหญิงมีความสัมพันธ์กับ
ทัศนคติตอ่ พฤตกิ รรมทางสงั คม การแสดงออกทาง สังคมของกลมุ่ หญิงรกั หญงิ แลเทัศนคติตอ่ พฤติกรรมทางสังคมของกลมุ่ หญิงรกั
หญิงมีความสัมพันธ์กับการ แสดงออกทาง สังคมของกลุ่มหญิงรักหญิง นอกจากน้ีผลการสัมภาษณ์เจาเลึกพบว่า สื่อมวลชน
นาเสนอเรื่องราว เกี่ยวกับหญิงรักหญิงมากขึ้น แลเช่วยให้กลุ่มหญิงรักหญิงเกิดความสบายใจในการดารงอยู่ในสังคมได้ในรเดับ
หนงึ่ สอ่ื อินเทอรเ์ นต็ มีอทิ ธพิ ลต่อการติดตอ่ สื่อสารรเหวา่ งกลุ่มหญิงรกั หญงิ แลเในแต่ลเสื่อล้วนมีอิทธิพลต่อกลุ่มหญิง รักหญิงแต่
จเมมี ากหรอื นอ้ ยก็ขึ้นอยกู่ บั ความแตกตา่ งในแต่ลเบคุ คลแลเความสามารถในการเข้าถงึ สื่อ การวิจัยท่ีเกี่ยวข้องในด้านการใช้ชีวิต
อยรู่ ่วมกันในสังคมด้วยความเสมอภาค พบว่าปรเชาสังคมของมูลนิธิเพ่ือนหญิง เป็นมูลนิธิที่จดทเเบียน ตามกฎหมาย มีภารกิจที่
ปรเกอบด้วย นโยบายของมลู นิธเิ พ่อื ใหส้ ตรไี ด้รับการคมุ้ ครองสทิ ธิ์ตา่ ง ๆ ตาม กฎหมาย การพฒั นาหรือการยกรเดับศักยภาพของ
สตรีใหม้ บี ทบาทในสังคม ศูนย์พิทักษ์รับ เรื่องราวร้องทุกข์ การจัดกิจกรรม เพ่ือให้เกิดการรวมกลุ่ม การออมทรัพย์แลเการขยาย
เครือข่ายทีว่ า่ ปรเเทศ สาเหตุของการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัวท่ีเกิด ข้ึนกับสตรีได้แก่ความไม่มีเหตุผลของสามีโดยการหึง
หวงจนเกนิ เหตุ ความเจา้ ชแู้ ลเชอบทาร้ายร่างกายผู้อืน่

บทที่ 3
วธิ กี ารศกึ ษาคน้ ควา้

ในการศึกษาครั้งน้ี ผู้ศึกษาได้ทาการศึกษาปัญหาตรรกเที่ผิดในเร่ืองเพศของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่
5 โรงเรยี นเทพศิรินทร์ พุแค จังหวดั สรเบรุ ี ซึ่งมวี ธิ กี ารดังน้ี

รเเบียบวธิ ที ่ใี ชใ้ นการศึกษา
ในการศึกษาใชร้ ูปแบบ การสารวจ การศกึ ษาค้นคว้า ด้วยวิธีการ สืบค้นข้อมูล จากหนังสือ อินเตอร์เน็ต

แลเตอบแบบสอบถาม

ปรเชากรแลเกลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษา
ปรเชากร
ปรเชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนรเดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพศิริ

นทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 1 ห้อง 32 คน เป็นนักเรียนทั้งสิ้น 32
คน

กลมุ่ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ีได้แก่นักเรียนรเดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี5โรงเรียนเทพศิรินทร์

พแุ ค จงั หวดั สรเบุรี ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563 เป็นนักเรียนท้ังส้ิน 32 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย
จานวน 10 ห้องเรียน เพื่อตอบแบบสอบถามทสี่ รา้ งข้นึ

รเยเเวลาทีใ่ ช้ในการศึกษา
รเยเเวลาท่ีใช้ในการศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือน

พฤศจิกายนถึงเดือนกุมพาพันธ์

วิธีดาเนินการศึกษา
ผู้ศกึ ษาได้ดาเนนิ การตามขน้ั ตอนดงั นี้

1. กาหนดเรื่องท่ีจเศึกษา โดยสมาชิกทั้ง 3 คน ปรเชุมร่วมกัน แลเร่วมกันคิดแลเ
วางแผน ว่าจเศึกษาเร่ือง ตรรกเความคิดในเร่ืองลัทธิกีดกันทางเพศของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5
โรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค จังหวังสรเบุรี

2. สารวจปัญหาท่ีพบในโรงเรียน ซ่ึงมีท้ังปัญหาด้านผู้เรียน ครูผู้สอน อาคาร สถานที่
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ฯลฯ

3. เลือกเร่ืองทจี่ เศึกษา โดยเลือกเรื่องท่ีสมาชิกมีความสนใจมากที่สุด เพ่ือเป็นแรงจูงใจในการ
ค้นหาคาตอบ

4. ศกึ ษาแนวคิดในการแก้ปญั หา
5. ต้งั ชอ่ื เร่ือง
6. สมาชิกทั้ง3 คนของกลุ่ม พบครูผู้สอนเพื่อปรึกษา วางแผนแลเรับฟังความคิดเห็น
ปรับปรุงแก้ไข
7. เขียนความสาคัญความเป็นมาของปัญหา วัตถุปรเสงค์ สมมุติฐาน ขอบเขต การวิจัยแลเ
ปรเโยชน์ที่คาดว่าจเได้รับ โดยศึกษาข้อมูลจากหนังสือ วิทยานิพนธ์แลเสืบค้นข้อมูล จากอินเตอร์เน็ต แลเจด
บันทึกในโครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการ
8. สรา้ งเครอื่ งมือ ที่เปน็ แบบสอบถาม จานวน 8 ข้อ
9. นาเครอื่ งมอื ทป่ี รับปรุงแลว้ ไปใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ ง
10. รวบรวมข้อมูล
11. วิเคราเหข์ อ้ มูล
12. สรปุ ผลการศกึ ษา

ขน้ั ตอนวธิ ดี าเนนิ การศึกษา

กาหนดเรื่องท่ีจะศึกษา

ศึกษาแนวคดิ และการแกป้ ัญหา

สารวจปัญหาและเลือกเร่ือง

ต้งั ช่ือเร่ืองท่ีจะศึกษา
พบครูท่ีปรึกษา คุณครูยวุ ดี ญาณสิทธ์ิ

ศึกษาวธิ ีการเขียนบทนา

ปรับปรุง เครื่องมือและนาไปทดลอง
ใชก้ ลบั กล่มุ ตวั อยา่ ง

สร้างเคร่ืองมือ (แบบสอบถาม)

รวบรวมขอ้ มลู

วเิ คราะห์ขอ้ มูล

สรุปผลการศึกษา

เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการศึกษา
เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการศึกษาคร้งั นี้ คือ แบบสอบถาม 1 ฉบับ ซึง่ มรี ายลเเอียดดังน้ี

1. ออกแบบสอบถาม เร่ือง การศึกษาแลเแก้ปัญหากาการออมทรัพย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 โรงเรยี นเทพศิรทิ ร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี โดยขอคาแนเนาจาก คุณครูจุฑาทิพย์ อินทรีย์โดยเตรียมร่างข้อคาถาม
มลี กั ษณเเปน็ ขอ้ คาถามจานวน 8 ข้อ เป็นแบบมาตราสว่ นปรเมาณ 5 รเดับ คือ

5 หมายถึง เห็นดว้ ยมากท่ีสุด

4 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยมาก
3 หมายถงึ เห็นด้วยปานกลาง

2 หมายถงึ เห็นดว้ ยน้อย
1 หมายถงึ เหน็ ด้วยนอ้ ยที่สดุ

การพิจารณาค่าเฉลย่ี ใช้เกณฑด์ ังน้ี หมายถึง เห็นดว้ ยมากท่ีสุด
ค่าเฉล่ยี 4.51 – 5.00 หมายถงึ เหน็ ด้วยมาก
ค่าเฉล่ยี 3.51 – 4.50 หมายถึง เหน็ ดว้ ยปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถงึ เหน็ ด้วยนอ้ ย
ค่าเฉลย่ี 1.51 – 2.50

คา่ เฉล่ยี 1.00 – 1.50 หมายถึง เห็นด้วยน้อยทสี่ ดุ

2. สร้างแบบสอบถาม เรื่องการศึกษาแลเแก้ปัญหาการลัทธิทางเพศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
5 โรงเรียนเทพศิริทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี โดยขอคาแนเนาจากคุณครูยุวดี ญาณสิทธิ์ จากนั้นนามาปรับปรุง
แก้ไข แล้วนาไปตรวจสอบความเหมาเสม

3. นาแบบสอบถามเรื่อง การศึกษาแลเแก้ปัญกาการออมทรัพย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
โรงเรียนเทพศิริทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี ที่แก้ไข ปรับปรุงแล้วให้กลุ่มตัวอย่างปรเเมิน หลังจากนั้นนาผลที่
ได้มาหาค่าเฉล่ีย
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

การศึกษาครง้ั นไี้ ดด้ าเนนิ การโดยนาแบบสอบถามทีส่ ร้างขน้ึ ให้นกั เรียนกลุ่มตัวอย่างตอบ จานวน 32 คน
แลเเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากนกั เรยี น ท่เี ปน็ กล่มุ ตวั อย่าง โดยผ้ศู ึกษาท้งั 3 คน ดาเนิน การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย
ตนเอง

การวิเคราเหข์ ้อมลู
ในการวเิ คราเหข์ อ้ มลู ผู้ศึกษาไดว้ เิ คราเห์ข้อมลู ดงั น้ี
1. นาแบบสอบถามท้งั หมดทต่ี อบโดยนกั เรยี นกลุ่มตัวอยา่ ง มาหาค่าคเแนนรวม
2. นาผลรวมมาคดิ ค่ารอ้ ยลเ 5.72

สถติ ทิ ่ใี ช้ในการศึกษา
สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการศึกษาคร้ังนี้ คอื การหาคา่ เฉลยี่ คิดเปน็ ร้อยลเ 5.72

บทที่ 4
ผลการศกึ ษาคน้ ควา้

การศกึ ษาคน้ ควา้ ครงั้ นม้ี วี ัตถปุ รเสงค์เพื่อให้นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค
จังหวดั สรเบุรี รู้จกั ความหมายในเร่อื งลัทธกิ ีดกนั ทางเพศใหถ้ ูกต้อง การใชต้ รรกเแลเการแสดงออกถึงฝาุ ยตรง
ข้ามทเี่ หมาเสมแลเให้เกียรติตรเหนักถึงการใชช้ ีวิตร่วมกนั ในสังคมอย่างมีความสขุ โดยนาเสนอผลการวิเคราเห์
ขอ้ มูลต่าง ๆ ดังน้ี

นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นเทพศริ ินทร์ พแุ ค จงั หวัดสรเบรุ ี มตี รรกเหรือทัศนคติท่ีถูกตอ้ งเกี่ยวกับเรือ่ ง
เพศก่เี ปอรเ์ ซ็นโดยจเแสดงเป็นร้อยลเในแตล่ เห้อง

ตารางที่ 1 แสดงผลรเดบั คเแนนการปรเเมินเร่ือง ลัทธิกีดกนั ทางเพศ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5
โรงเรยี นเทพศิรทิ ร์ พแุ ค จังหวัดสรเบุรี จานวนกลุม่ ตวั อย่าง 32 คน

รายการปรเเมนิ ค่าคเแนนร้อยลเ
5 4 3 21

1. นกั เรียนเข้าใจในความหมายเรื่องลัทธิกีดกันทางเพศ 28.12 25 12.5 3.12 0
ที่ถกู ต้อง

2. นกั เรยี นศกึ ษาเร่ืองนีเ้ พ่ือนาไปตอ่ ตอ่ ยอดในอนาคต 31.25 43.75 25 0 0

3. นักเรียนมีความเขา้ ใจเร่ืองความเสมอภาคทางเพศ 40.62 28.12 25 6.25 0

4. นักเรยี นมีการจดบันทึกเน้ือหาท่ีมีความสาคัญ 12.5 31.25 12.5 9.37 3.12

5. นักเรยี นสามารถนาเร่อื งท่ีศึกษาไปอธบิ ายต่อให้ 34.37 31.25 28.12 6.25 0

เพื่อนฟังได้

6. นักเรียนนาความรู้ทศี่ ึกษาได้ไปใชใ้ นชวี ติ ปรเจาวันที่ 43.75 28.12 21.87 6.25 0

ถกู ต้อง

7. นักเรียนยอมรับในเร่ืองความเสมอภาคทางเพศใน 25 43.75 31.25 0 0

สังคมไทยได้

8. นักเรียนต่อต้านคนทม่ี ตี รรกเทผ่ี ดิ โดยใชว้ ิธอี ธบิ าย 28.12 46.87 21.87 0 3.12

ใหเ้ ขาฟังอย่างถูกตอ้ ง

จากตารางที่ 1 พบว่านักเรียนเข้าใจในเร่ืองลัทธิกีดกันทางเพศ อยู่ในรเดับ 5 คิดเป็นร้อยลเ 28.12

นักเรียนศึกษาเร่ืองนี้เพ่ือนาไปต่อต่อยอดในอนาคต อยู่ในรเดับที่ 4 คิดเป็นร้อยลเ 43.75 นักเรียนมีความเข้าใจ

เร่อื งความเสมอภาคทางเพศอยูใ่ นรเดบั 5 คดิ เปน็ รอ้ ยลเ 40.62 นกั เรยี นมกี ารจดบันทึกเนอ้ื หาที่มีความสาคัญ อยู่

ในรเดับ 5 คิดเป็นร้อยลเ 31.25 นักเรียนสามารถนาเรื่องท่ีศึกษาไปอธิบายให้เพื่อนฟังต่อได้ อยู่ในรเดับท่ี 5 คิด

เป็นร้อยลเ 34.37 นักเรียนนาความรู้ท่ีศึกษาได้ไปใช้ในชีวิตปรเจาวันได้ถูกต้อง อยู่ในรเดับ 5 คิดเป็นร้อยลเ
43.75 นักเรียนยอมรับในความเสมอภาคทางเพศในสังคมไทยได้ อยู่ในรเดับ 4 คิดเป็นร้อยลเ 43.75 นักเรียน
ตอ่ ต้านคนท่มี ีตรรกเท่ผี ิดโดยใช้วธี ีการอธิบายให้เขาฟังอยา่ งถูกตอ้ ง อยใู่ นรเดบั 4 คดิ เป็นร้อยลเ 46.87

ตารางท่ี 2 แสดงผลการปรเเมนิ เรื่อง ลทั ธิกีดกันทางเพศของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียน
เทพศริ ิทร์ พแุ ค จังหวัดสรเบุรี

รายการปรเเมิน ค่าเฉลย่ี รเดบั คณุ ภาพ
1. นักเรียนเข้าใจในความหมายเรอ่ื งลทั ธิกดี กนั ทางเพศที่ 4.39 เห็นด้วยมาก
ถูกต้อง
5.46 เหน็ ดว้ ยมากทส่ี ดุ
2. นักเรยี นศึกษาเร่ืองน้ีเพ่ือนาไปตอ่ ตอ่ ยอดในอนาคต 6.35 เหน็ ดว้ ยมากทีส่ ุด
3. นกั เรียนมีความเข้าใจเรื่องความเสมอภาคทางเพศ 4.88 เหน็ ด้วยมากทสี่ ดุ
4 .นักเรียนมกี ารจดบนั ทึกเนื้อหาที่มีความสาคญั 5.37 เหน็ ดว้ ยมากท่ีสุด
5 .นกั เรยี นสามารถนาเร่อื งท่ีศึกษาไปอธิบายตอ่ ให้เพ่ือน
ฟัง ได้ 6.83 เห็นดว้ ยมากทสี่ ดุ
6. นกั เรียนนาความรทู้ ่ศี ึกษาได้ไปใช้ในชีวติ ถกู ต้อง 5.46 เห็นด้วยมากที่สดุ
7. นกั เรยี นยอมรับในเรื่องความเสมอภาคทางเพศใน
สงั คมไทยได้ 5.85 เห็นด้วยมากท่สี ดุ
8. นกั เรยี นต่อตา้ นคนท่ีมตี รรกเท่ีผดิ โดยใชว้ ิธอี ธิบายให้
เขาฟังอย่างถูกต้อง 5.32 เห็นด้วยมากทส่ี ุด

รวมทั้งหมด

จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรยี นรเดับชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นเทพศิรินทร์ พแุ ค จงั หวัดสรเบรุ ี มีความเข้าใจ
ในเรื่องลทั ธิกดี กันทางเพศ อยู่ในรเดบั เหน็ ด้วย มากทส่ี ุด ค่าเฉลี่ย 5.32

บทท่ี 5
สรปุ อภปิ รายผลแลเขอ้ เสนอแนเ

จากการศึกษาคร้ังนี้ เพือ่ ใหน้ ักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พุแค จังหวัดสรเบุรี รจู้ ัก
ความหมายลทั ธกิ ดี กันทางเพศ ตรเหนกั ถงึ การใชช้ ีวติ อยู่ร่วมกันดว้ ยความเสมอภาค สามารถสรปุ ผล อภปิ ราย
ผล แลเข้อเสนอแนเไดด้ ังนี้
วตั ถปุ รเสงคข์ องการศกึ ษา
1. เพอื่ ใหน้ ักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ พแุ ค จังหวัดสรเบุรี รูจ้ กั ของลัทธิกดี กันทางเพศแลเ
ความหมายของความเสมอภาคทางเพศ
2. เพอื่ ใหน้ ักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นเทพศริ ินทร์ พุแค จังหวดั สรเบรุ ี รจู้ ักการเปดิ ใจยอมรบั เพศท่สี าม
3. เพอื่ ให้นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ พแุ ค จงั หวัดสรเบุรี ตรเหนักการใช้ชวี ติ อยู่กันด้วย
ความเสมอภาคทางเพศ
ขอบเขตของการศกึ ษา
1. ปรเชากรทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา
ปรเชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาครั้งนี้ ศึกษาตรรกเความคิดเก่ียวกับลทั ธกิ ดี กันทางเพศชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียน
เทพศิรนิ ทร์ พแุ ค จงั หวัดสรเบุรี จานวน 1 หอ้ ง 32 คน
2. กลมุ่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการศึกษา
กล่มุ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้ในการศกึ ษาตรรกเความคิดดา้ นความเสมอภาคทางเพศของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา ปที ี่ 5
โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค จังหวัดสรเบุรี

เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา
เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการศึกษาครง้ั น้ี ปรเกอบด้วยแบบสอบถาม จานวน 1 ฉบับ เรือ่ ง ลัทธกิ ดี กนั ทางเพศของนักเรยี น
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค

จงั หวัดสรเบุรี จานวน 8 ข้อ
การวเิ คราเหข์ ้อมลู
ในการวิเคราเห์ข้อมลู ผศู้ ึกษาได้วเิ คราเห์ข้อมูลของนกั เรยี นท่ีมีตอ่ เรื่อง ความเข้าใจในเร่ืองลัทธกิ ดี กนั ทางเพศ
ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นเทพศริ ินทร์ พแุ ค จังหวดั สรเบรุ ีโดยการคิดคเแนนเฉล่ีย เป็นค่าร้อยลเ
5.32
สรปุ ผลการศกึ ษา
ผลการศกึ ษาที่มีต่อการศึกษา เรอ่ื งความเขา้ ใจใจเรทอ่ งลัทธิกดี กันทางเพศของนักเรยี น
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นเทพศิรินทร์ พุแค จงั หวัดสรเบรุ ี อยู่ในรเดับคณุ ภาพมากที่สุด
การอภปิ รายผล
จากการศึกษาความเข้าใจในเรื่องลทั ธิกีดกันทางเพศของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค
จังหวดั สรเบุรี พบวา่ นกั เรียนทกุ คน มีความพึงพอใจหรือทศั นคติ อยู่ในรเดับ มากท่ีสดุ คดิ เปน็ รอ้ ยลเ 5.32
ขอ้ เสนอแนเ
ข้อเสนอแนเในการศกึ ษาคร้งั น้ี
1. สามารถนาไปศึกษาปัญหาตา่ ง ๆ ที่พบในโรงเรียนได้ แตค่ วรมีตัวแปรร่วมด้วย เพ่อื ให้การศึกษามีคุณภาพ
2. สามารถนาไปศึกษากับกลุ่มตวั อยา่ งอื่น
3. ควรมเี วลาศกึ ษามากข้ึน
4. เนือ้ หาควรสนั้ แลเกรเฉบั
5. ควรเพ่ิมรายการปรเเมินให้มากขนึ้

ภาคผนวก

แบบสอบถาม

เรอ่ื ง ลทั ธกิ ดี กนั ทางเพศของ
นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์ พแุ ค จงั หวดั สรเบรุ ี

นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ........ หอ้ ง .........

คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนใส่เครอื่ งหมาย √ ลงในชอ่ งท่ีเห็นด้วยมากทสี่ ุด

รายการปรเเมนิ คเแนน
54321
1. นกั เรยี นเขา้ ใจในความหมายเรอื่ งลทั ธิกีดกันทางเพศอย่างถูกตอ้ ง
2. นกั เรียนศึกษาเร่อื งนี้เพื่อนาไปตอ่ ยอดในอนาคต
3. นักเรยี นมีความเข้าใจในเรอ่ื งความเสมอภาคทางเพศ
4. นกั เรียนมีการจดบนั ทกึ เนือ้ หาทม่ี ีความสาคญั
5. นักเรยี นสามารถนาเร่อื งทศี่ ึกษาไปอธิบายตอ่ ให้เพื่อนฟงั ได้
6. นักเรียนสามารถนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใช้ในชีวติ ปรเวนั ไดอ้ ย่างถูกต้อง
7. นกั เรยี นยอมรบั ในเร่ืองความเสมอภาคทางเพศในสังคมไทยได้

8. นักเรยี นต่อต้านคนทีม่ ตี รรกเท่ีผดิ โดยใชว้ ิธกี ารอธบิ ายใหเ้ ขาเขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง
รวม

ขอ้ เสนอแนเ

..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

บรรณานุกรม

วกิ พิ ีเดยี สารานกุ รมเสร.ี (2561).ความหมายลัทธกิ ีดกนั ทางเพศ สืบค้น 28 เมษายน 2018จาก
//th.wikipedia.org/w/index.php?title.อาสาสมัครวิกิพเี ดยี .(2561).Butlerงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้องJudith. Gender
Trouble: Feminism and the. Subversion of Identity. New York: Routledge. 1990

สมาคมเพศวิถีศึกษา.(2562).ความหมายความเสมอภาคทางเพศ.เนชัน่ แนล จีโอกราฟฟิกฉบบั ภาษาไทย.ดร.วรา
ภรณ์ แช่มสนิท. งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง.Warner, Michael. Fear of the Queer Planet: Queer Politics and
Social Theory. Minneapolis: University of Minnesota Press.1993

สานกั งานกิจการสตรีแลเสถาบนั ครอบครวั (2555).การสารวจตรรกเความคดิ ในเรื่องความ เสมอภาคทางเพศใน
ปจั จุบนั .สบื คน้ จาก www.owf.go.th / www.gender.go.th.กรเทรวงการพฒั นา สังคมแลเความม่ันคงของ
มนุษย์.วาทกรรมเก่ยี วกบั เกย์ในสังคมไทยปีท่1ี . งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง.สบื คน้ จาก
http://www.isna.org/faq/frequency.เทอดศักด์ิ ร่มจาปา. (2545).

การมจี ติ ใจเปดิ กวา้ งให้กบั เพศท3่ี .Weeks, Jeffrey; Holland, Janet and Waites, Matthew. “Introduction”
in Weeks, Jeffrey; Holland, Janet and Waites, Matthew. (eds.) Sexualities and Society. Cambridge,
Polity Press. งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง.Warner, Michael. Fear of the Queer Planet: Queer Politics and
Social Theory. Minneapolis: University of Minnesota

กรุงเทพฯ: มลู นธิ เิ พื่อสทิ ธิแลเความเป็น ธรรมทางเพศ มูลนิธิธรี นาถ กาญจนอักษร แลเ สสส.การใชช้ วี ติ อยู่
รว่ มกนั ดว้ ยความเสมอภาค.สบื คน้ จากhttps://www.thairath.co.th/content/364187. บุคคล เพศหลากหลาย
ในรเบบกฎหมาย.สมชาย ปรชี าศลิ ปเกุล. (2558).กรงุ เทพฯ: มูลนิธิเพอื่ สิทธิแลเความ เป็น ธรรมทางเพศ.งานวจิ ยั
ท่เี กย่ี วขอ้ ง.สืบคน้ จาก. http://www.isna.org/faq/frequency.วิจติ ร ว่อง สารีทพิ ย์ (2559).


Data Loading...